top of page
ค้นหา

"ย้อนรอยเกจิดัง" ประจำวันอาทิตย์ที่ 7 พ.ค. 2566 "หลวงพ่อผล ภทฺทิโย"อดีตเกจิดังวัดพังม่วง

  • รูปภาพนักเขียน: อ.อนุชา ทรงศิริ
    อ.อนุชา ทรงศิริ
  • 7 พ.ค. 2566
  • ยาว 1 นาที

"ย้อนรอยเกจิดัง"

ประจำวันอาทิตย์ที่ 7 พ.ค. 2566

"หลวงพ่อผล ภทฺทิโย"อดีตเกจิดังวัดพังม่วง

สหธรรมิกหลวงพ่อสม วัดดอนบุปผาราม

สมญานาม"พระบ้านกร่างคู่แห่งสุพรรณบุรี"

หนึ่งในพระเกจิอาจารย์ของเมืองสุพรรณบุรี อดีตเจ้าอาวาสวัดพังม่วง ต.วังน้ำซับ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นวัดเล็กๆ วัดหนึ่งของอำเภอศรีประจันต์ นาม ‘พระภัทรมุนี (ผล ภทฺทิโย)’ ซึ่งในเวลาต่อมาได้ย้ายไปครองวัดไชนาวาส ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี และดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรีด้วย

ทว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายว่า ประวัติของท่านสืบค้นได้เท่าที่ทราบว่า นามเดิม "ผล สุวรรณประทีป" ภายหลังใช้ "เพชรสนิท" ชาตะเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ ที่บ้านอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ ณ วัดพังม่วง มีพระอธิการโฉม ซึ่งเป็นพระพี่ชาย เป็นพระอุปัชฌาย์ จากนั้นได้ไปศึกษาที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพฯ

เมื่ออายุครบบวชได้อุปสมบท ณ วัดราชบุรณะ กรุงเทพมหานคร มีพระธรรมดิลก (อิ่ม จนฺทสิริ) เจ้าอาวาสวัดราชบุรณะ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาโต๊ะ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระราชโมลี (ช้อน โสณุตฺตโร) วัดราชบุรณะ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางพระว่า ‘ภทฺทิโย’

อุปสมบทแล้วจำพรรษาที่วัดราชบุรณะ ศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้เปรียญ ๖ ประโยค ต่อมาเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดพังม่วง เป็นพระลูกวัดมา จนกระทั่งในช่วงปลายชีวิตได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดไชนาวาส ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ สุพรรณบุรี

ซึ่งน่าจะเป็นหลังปี พ.ศ. ๒๕๐๘ เพราะเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ ‘พระภัทรมุนี’ ท่านยังคงอยู่ที่วัดพังม่วง และอาจจะได้รับแต่งตั้งให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดไชนาวาสในช่วงหลังจากนั้น

พระภัทรมุนี (ผล ภทฺทิโย) ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เป็นพระนักพัฒนา ส่งเสริมการศึกษา เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนส่งเสริมในการบุกเบิกการศึกษาของวงการสงฆ์ในจังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากนั้นยังเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อสม วัดดอนบุปผา จนได้รับการกล่าวขานว่า เป็น ‘พระบ้านกร่างคู่แห่งเมืองสุพรรณ’

พระภัทรมุนี (ผล ภทฺทิโย) มรณภาพเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๓ สิริรวมอายุได้ ๗๓ ปี พรรษา ๕๒

วัตถุมงคลที่ถือว่าเป็นพระเครื่องรุ่นแรกๆของหลวงพ่อผลได้แก่ พระเนื้อผงพระพุทธโสภิต สร้างปี ๒๔๘๘ (พบเจอน้อย) จำนวนการสร้างไม่ปรากฎ พระสังกัจจายน์ เนื้อผง พ.ศ. ๒๔๘๘,รูปถ่ายหน้าตรงกรอบกระจก ปี ๒๕๐๘ ( มีจำนวนน้อยมาก )ด้านหลังรูปถ่ายจารมืออักขระยันต์ เหรียญปั๊มรูปเหมือนพัดยศรุ่นแรก พ.ศ. ๒๕๐๘พระมหาผล (ผล ภทฺทิโย),เหรียญปั๊มหันข้างรุ่นแรก พ.ศ.๒๕๐๘

เหรียญปั๊มรูปพัดยศ เนื้อเงินก้อนลงยา และเนื้อเงินก้อนแบบไม่ลงยา ด้านหน้าเป็นรูปเหมือนหน้าตรง มีอักษรไทยจารึกว่า ‘พระมหาผล ภทฺทิโย’ ด้านหลังเป็นยันต์ตัวเฑาะว์และอักขระขอม ‘มะ อะ อุ’ และ ‘นะ โม พุท ธา ยะ’ และอักษรไทยจารึกว่า ‘วัดพังม่วง ๒๕๐๘’ สร้างตอนที่ท่านยังครองตำแหน่งที่พระมหาผล จำนวนการสร้างคาดว่าไม่กี่ร้อยเหรียญ

ส่วนการสร้างเหรียญรูปพัดยศ พระราชาคณะหรือที่ชาวพังม่วงเรียกกันว่า "เหรียญพัดยศ" นั้น สร้างโดยใช้ "เงินก้อนกลม " จากการบริจาคคนละก้อนสองก้อนนำไปให้โรงงานจัดทำ ซึ่งทำได้ไม่กี่ร้อยเหรียญ ท่านปลุกเสกเดี่ยวตลอดพรรษา

หลังงานกฐินแล้วก็ทราบข่าวที่รอวันในหลวงรัชกาลที่9 ลงพระปรมาภิไธยเท่านั้น จึงเอามาแจกคืนให้เจ้าของเงินก้อน บ้านละเหรียญเดียว มีหลานท่านบางคนเท่านั้นที่ได้คืน ๒ เหรียญ ที่เหลือทั้งหมดถวายให้ท่านจัดการตามอัธยาศรัย และตกลงการจัดทำรุ่นหยัก(เหรียญหันข้าง)ด้วย แต่จำจำนวนไม่ได้ว่าเท่าไร

ในวงการเซียนพระถือรุ่นหยักเป็นรุ่น ๑ เพราะมีมากจนหาได้ไม่ยาก ต่างกับเหรียญพัดยศที่ใช้เงินก้อนกลมที่ได้รับจากการบริจาคได้เพียงร้อยกว่าก้อน

หลังวันที่ ๕ ธันวาคม ไม่นาน ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี และย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดไชนาวาส อ.เมืองสุพรรณ มีการจัดงานมุทิตาจิต เหรียญที่จัดทำเตรียมไว้นั้น ก็นำมาแจกจ่ายกันแพร่หลายมานับแต่นั้น

อย่างไรก็ตาม ไม่แน่ใจว่าเหรียญทั้ง ๒ แบบนี้จะสร้างห่างกันนานแค่ไหน แต่ก็ถือว่าเป็นเหรียญรุ่นแรก เพราะปีที่สร้างระบุ พ.ศ. ๒๕๐๘ เช่นเดียวกัน

ด้านประสบการณ์ของเหรียญทั้ง ๒ แบบนี้ คนแถวพังม่วงต่างทราบกันดีว่ามีพุทธคุณ

ดีด้านแคล้วคลาดปลอดภัย รวมถึงคงกระพันชาตรีก็มีให้เห็น

ปัจจุบันวัดพังม่วงมีพระมหามนพ กิตฺติมโน เป็นเจ้าอาวาส พระเกจิหนุ่มนักพัฒนา มีชื่อเสียงในเรื่องการเจิม"ยันต์ฝ่ามือนะเศรษฐี"

ท่านเป็นศิษย์สายตรงหลวงปู่สมบุญ วัดลำพันบอง เมื่อมีงานนั่งปรกอธิษฐานจิตที่วัดลำพันบองครั้งใด ท่านก็จะนิมนต์พระมหามนพไปด้วย

#ฉัตรสยาม



 
 
 

Bình luận


  • generic-social-link
  • generic-social-link
  • youtube

©2020 by kampeenews. Proudly created with Wix.com

เมื่อเอ่ยถึงจังหวัดสระบุรี คนทั่วไปจะต้องคิดถึง “รอยพระพุทธบาท” ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่ง เดียวในประเทศไทย ที่มีรอยพระพุทธบาทของแท้ประทับรอยอยู่ ในแต่ละปีจะมีทั้งพระภิกษุสามเณรและบุคคลทั่วไป ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศตั้งใจเดินทางมากราบนมัสการ เพราะถือว่าหากได้เดินทางไปกราบรอยพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรีแล้ว เป็นมงคลสูงสุดในชีวิตก็ว่าได้

 ไม่ใช่ว่าสระบุรีจะมีแต่สถานที่เท่านั้นที่ศักดิ์สิทธิ์ พระเกจิอาจารย์ของสระบุรีที่มากไปด้วยประสบการณ์ ตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันโด่งดังไปทั่วภูมิภาคและในท้องถิ่นมีอยู่เป็นจำนวนมาก อาทิ หลวงพ่อยอด วัดหนองปลาหมอ, พระอุปัชฌาย์กาน วัดโคกโพธิ์, อุปัชฌาย์ตัน วัดอู่ตะเภา, หลวงพ่อลา วัดแก่งคอย, หลวงพ่อย้อย วัดอัมพวัน และหลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง เป็นต้น

 และยังมีพระสงฆ์ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ข้อวัตรงดงามยิ่ง โดยเฉพาะวางอุเบกขาได้อย่างยอดเยี่ยม เปี่ยมด้วยความเมตตาบารมีแก่คนทุกชั้นทุกกระดับอย่างเสมอภาค พระสงฆ์รูปนั้นคือ “พระครูอรรถธรรมาทร” หรือ ที่เรียกกันติดปากว่า “หลวงพ่อเฮ็น แห่งวัดดอนทอง” ตำบลดงตะงาว อำเภอดอนพุด จังหวัดสระบุรี ปัจจุบันวัตถุมงคลของท่านถึงจะสร้างไว้ไม่เก่ามาก แต่ความนิยมในหมู่นักสะสมก็ไม่ธรรมดา

 โดยเฉพาะ “เหรียญรุ่นแรก” และ “พระกริ่งดอนทอง” สนนราคาเล่นหาสูงขึ้นเรื่อย

 ตามประวัติ หลวงพ่อเฮ็นท่านถือกำเนิดเมื่อวันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 2454 ตรงกับวันแรม 4 ค่ำ เดือน 1 ปีกุน ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โยมบิดาชื่อนายอยู่ โยมมารดาชื่อนางเขียว ศิริวงษ์ ซึ่งมีอาชีพเกษตรกร

 เมื่ออายุได้ 8 ขวบได้ ไปศึกษาอักขระสมัยทั้งไทยและขอมกับพระอาจารย์แก้ว วัดพรรณนารายณ์ ซึ่งอยู่ไกล้บ้านของท่าน พออ่านออกเขียนได้ก็ลาจากวัดมาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพ ท่านเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรง ใจคอกล้าหาญอดทนกว้างขวางมีพรรคพวกเพื่อนฝูงมาก ยุคนั้นบ้านกะวาปาลาย แขวงเมืองกำพงธม เป็นแดนนักเลงหัวไม้ มีทั้งชนไก่กัดปลา ข้องอ้อย ฯลฯ เวลามีงานวัดมักจะนัดตีกันเป็นประจำ

 สำหรับนายเฮ็นพรรคพวกเพื่อนฝูงย่องให้เป็นลูกพี่ ด้วยเหตุนี้ทำให้บิดามารดาวิตกเกรงว่าหนทางข้างหน้าอาจจะเสียคน เพราะคบเพื่อนไม่เลือกว่าคนดีคนพาล ต่อมาเมื่อวันพุธที่ 9 ธันวาคม 2474 ปีมะแม เมื่อนายเฮ็นมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ บิดามารดาจึงทำการอุปสมบทให้ ณ พัทสีมาวัดพรรณนารายณ์ ตำบลกะวา อำเภอปาลาย แขวงเมืองกัมพงธม ประเทศกัมพูชา (เขมร) โดยมี พระอุปัชฌาย์แก้ว วัดพรรณนารายณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์มั่น เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอุปัชฌาย์ให้ฉายว่า “สิริวังโส”

 เมื่อบวชแล้วก็จำพรรษาอยู่ที่วัดพรรณนารายณ์ ทำอุปัชฌาย์วัตรอาจาริยวัตรตามธรรมเนียมพระนวกะผู้บวชใหม่ และศึกษาพระธรรมวินัยท่องบ่นสวดมนต์จนจบทุกยุคทุกคัมภีร์ มีอุตสาหะจดจำได้แม่นยำและเกิดเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง

 สิ่งสำคัญได้ศึกษาเล่าเรียนในด้านคาถาอาคมจนมีความชำนาญ เจนจัดด้านวิชาแขนงต่างๆ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อแก้ว วัดพรรณนารายณ์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์แล้ว ท่านจึงได้ตัดสินใจออกธุดงค์รอนแรมมาตามป่าและภูเขาเพื่อแสวงหาที่สงบวิเวกบำเพ็ญสมณธรรม และปฏิบัติสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน

 ต่อมาได้อยู่จำพรรษาที่ “วัดดอนทอง” เมื่อปี 2479 ระหว่างจำพรรษาอยู่ที่นั่นได้เป็นที่ศรัทธาของชาวบ้านดอนทองมาก ด้วยมีศีลาจารวัตรงดงาม ครั้นเมื่อ หลวงพ่อแพ เจ้าอาวาสวัดดอนทอง มรณภาพลง ชาวบ้านได้นิมนต์หลวงพ่อเฮ็น ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อมา ปี 2535 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ “พระครูอรรถธรรมทร”

 หลวงพ่อเฮ็น ได้สร้างมงคลวัตถุไว้หลายรุ่นหลายแบบ อาทิ ผ้ายันต์อุษาสวรรค์ มีพุทธคุณโดดเด่นด้านเมตตามหานิยม มีความเชื่อว่า เมื่อต้องการใช้ก่อนออกจากบ้าน ให้นำผ้ายันต์อุษาสวรรค์ เช็ดหน้าจากซ้ายไปขวาสามครั้ง ว่ากันว่าจะมีเสน่ห์ไปตลอดทั้งวัน

 หลวงพ่อเฮ็นมรณภาพเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 สิริอายุได้ 89 ปี

 สำหรับวัตถุมงคล “ผ้ายันต์อุษาสวรรค์” นั้น เซียนพระเครื่องต่างเสาะแสวงหาสะสมกันเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เหรียญรุ่นแรก “เหรียญเสมาหลวงพ่อเฮ็นรุ่นแรก ปี 2529” ยังที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง คณะศิษย์จัดสร้างถวายมุทิตาสักการะในโอกาสครบรอบอายุ 75 ปี ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปใบเสมา มีหูห่วง จัดสร้างเป็นเหรียญเนื้อทองแดง

 ด้านหน้าเหรียญตรงกลาง เป็นรูปเหมือนหลวงพ่อเฮ็นนั่งขัดสมาธิเต็มองค์บนอาสนะ 3 ชั้น ด้านใต้ฐานอาสนะเขียนคำว่า “หลวงพ่อเฮ็น สุวรรณศรัทธา” ด้านในขอบโค้งใบเสมาด้านซ้ายล่าง เขียนว่า “พ.ศ.๒๕๒๙” ส่วนด้านขวาของเหรียญเขียนว่า “อายุ ๗๕ ปี” ด้านหลังเหรียญ ตรงกลาง เป็นยันต์ ด้านบนยันต์เขียนว่า “วัดดอนทอง” ขอบโค้งด้านล่าง เขียนคำว่า “ต.ดงตะงาว กิ่ง อ.ดอนพุด จ.สระบุรี” ถือเป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมในวงการ มีพุทธคุณโดดเด่นรอบด้านทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย

 ส่วนวัตถุมงคลที่กำลังมาแรงอีกพิมพ์ "พระกริ่งดอนทอง" เป็นรุ่นแรกที่สร้างในวาระหลวงพ่อเฮ็น ครบ 7 รอบ 84 ปี นับเป็นวัตถุมงคลรุ่นพิเศษ ที่ท่านได้มอบหมายให้สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันสมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งด้านรูปลักษณ์พิมพ์ทรงที่ได้เน้นความสวยงามคมชัด รวมทั้งในด้านเนื้อหาซึ่งได้มอบชนวนมวลสารศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งแผ่นจารตะกรุดสามพี่น้องของหลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง ชนวนกริ่งญาณวิทยาคมพร้อมตะกรุดสาม กษัตริย์ของหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา และแผ่นจารตะกรุดสามกษัตริย์ของหลวงพ่อเฮ็น

 ทั้งหมดได้นำมาหลอมผสมผสานเพื่อให้วัตถุมงคลรุ่นนี้ ทรงคุณวิเศษยิ่งควรค่าแก่การบูชา ได้ผ่านพิธีมหาพุทธาภิเษก เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2537 จุดประสงค์ในการสร้างเพื่อสมทบทุนการศึกษาเด็กนักเรียนที่ขาดทุนทรัพย์ สมทบทุนอาหารกลางวัน และจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ วัตถุมงคลรุ่นนี้ผู้ที่มีไว้ครอบครองเคยมีประสบการณ์กันมาแล้วในหลายๆด้าน เด่นทางเมตตา มหานิยม ค้าขาย แคล้วคลาด โชคลาภ

 “พระกริ่งดอนทองรุ่นแรก” ที่จัดสร้างขึ้นเนื้อทองคำ สร้างจำนวน 84 องค์ เนื้อเงินจำนวน 500 องค์ เนื้อนวะจำนวน 500 องค์ เนื้อทองเหลืองจำนวน 200 องค์ ด้านหลังตอกโค้ด “นะ พุท ธา” ชัดเจน เป็นวัตถุมงคลที่มาแรง พิมพ์สวยมีอนาคต ของปลอมแปลงยังไม่มี สนนราคาวิ่งแบบไม่คงที่ ขึ้นติดอยู่ในระดับหลักพันกลางๆ  

 วัตถุมงคลของหลวงพ่อเฮ็นจึงเปี่ยมล้นด้านพุทธคุณ ทั้งคลาดแคล้วคงกระพันชาตรี, เมตตาค้าขายมหาเสน่ห์ และแก้อาถรรพณ์มนต์ดำขับไล่เสนียดจัญไรทั้งปวง เก็บสะสมไว้ไม่มีคำว่าผิดหวัง ในไม่ช้าไม่นานจะกลายเป็นวัตถุมงคลที่มากด้วยราคาและหายากยิ่ง

 นักสะสมมือใหม่รีบหาไว้บูชาด่วน!!!

bottom of page