"ย้อนรอยเกจิดัง"
ประจำวันอาทิตย์ที่ 7 มิ.ย. 2567
"หลวงปู่ตี๋"วัดเขาเขียวฯ"จี้กง"เมืองสุพรรณ
ศิษย์สายตรงพ่ออิ่ม/พ่อมุ่ย/พ่อกวย/ปู่ทิม
"พระอาจารย์ปฐวี(ตู่)ศิษย์เอกรูปสุดท้าย
"ย้อนรอยเกจิดัง"อาทิตย์นี้ขอนำเสนอประวัติ
"พระอธิการวิทยา ฉันทธัมโม" หรือ
"หลวงปู่ตี๋" สมญานาม "จี้กงจอมขมังเวทย์แห่งสุพรรณ" เจ้าอาวาสวัดเขาเขียวพนาราม
ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี
ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา,หลวงพ่อมุ่ย ,หลวงพ่อกวย,หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่,หลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ,หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญ
ชาติภูมิท่านเป็นชาวสุพรรณโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๗ ณ บ้านท่าน้ำตลาดท่าช้าง อ.เดิมบางนางบวช เป็นบุตรของนายห้อย นางกิมบี้ นามสกุล น้ำดอกไม้" มีพี่น้องทั้งหมด ๔ คน เป็นชาย ๓ คน หญิง ๑ คน ท่านเป็นบุตรคนโต
ในวัยเด็กโยมพ่อท่านเป็นช่างก่อสร้างมณฑปบนยอดเขาวัดหัวเขา อ.เดิมบางนางบวช และเมื่อตอนสร้างมณฑปนั้นได้นำท่านติดตามไปด้วยตลอด และหลวงพ่ออิ่ม เจ้าอาวาสวัดหัวเขาได้เห็นเข้า จึงเมตตาเลี้ยงดูให้ในขณะที่โยมพ่อทำงาน หลวงพ่ออิ่มได้ป้อนข้าวป้อนน้ำเลี้ยงท่านเปรียบเสมือนลูกในไส้ โดยดูดวงชะตาแล้วทราบว่า ในอนาคตเด็กคนนี้ต้องบวชไม่สึก และจะเป็นกำลังสำคัญในพระพุทธศาสนา ท่านจึงมอบตำราวิชาอาคม 1 เล่มให้กับโยมพ่อของหลวงปู่ตี๋เก็บรักษาเอาไว้ให้ท่านตอนโต ก่อนที่หลวงพ่ออิ่มจะมรณภาพ
เมื่ออายุ ๑๕ ปีได้บรรพชาเป็นสามเณร และเริ่มเรียนวิชาต่างๆจากตำราของหลวงพ่ออิ่ม ที่โยมพ่อเก็บรักษาเอาไว้จนแตกฉาน จวบจนอายุ ๒๐ ปี จึงอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดเขาพระ อ.เดิมบางนางบวช เมื่อวันที่ ๑๙ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๗ โดยมี พระครูอเนกคุณากร (หลวงปู่แขก) วัดหัวเขา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์พิณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ไสว เป็นพระอนุสาวนาจารย์
หลังอุปสมบทได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดหัวเขา เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและพุทธาคมจากหลวงปู่แขก ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่ออิ่ม ดังนั้นหลวงปู่แขกจึงป็นอาจารย์องค์แรกของท่านจนถึงปี พ.ศ.๒๔๙๗ จึงกราบลาหลวงปู่แขก มาศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมเพิ่มเติมจากหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ ศิษย์เอกหลวงพ่ออิ่มเพื่อเป็นการรวบรวมตำราของหลวงพ่ออิ่มที่หลวงพ่อมุ่ยมีอยู่เอาไว้ โดยเดินทางไปๆมาๆอยู่หลายปี จนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๕๐๕จึงเรียนจบ พร้อมกับได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดกระเสียว ต.กระเสียว อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี
หลวงปู่ตี๋ท่านชอบธุดงค์เป็นประจำ ช่วงชีวิตของท่านถือธุดงค์มาเกือบ ๔๐ ปี ในระหว่างที่อยู่วัดกระเสียวได้ออกธุดงค์เสมอๆ ครั้งหนึ่งท่านออกธุดงค์ไปทางภาคตะวันออก และได้พบกับหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยองเป็นครั้งแรก หลังธุดงค์กลับมาวัดกระเสียวได้ระยะหนึ่ง จึงกลับไปร่ำเรียนวิชาอาคมเพิ่มเติมจากหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ เป็นเวลา ๑ พรรษา ได้วิชาทำผงพรายกุมาร การเสกผง และวิธีการปลุกเสกพระเครื่อง
หลวงปู่ตี๋ท่านมาเรียนกับหลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม จ.ชัยนาท หลายครั้ง และหลวงพ่อกวยมักจะจูงมือหลวงปู่ตี๋เข้าไปเรียนในกุฏิแบบตัวต่อตัวตลอด วิชาที่ท่านเรียนก็คือ วิชาทำปลัดขิก, ตะกรุด, หนุมาน และวิชาอื่นๆอีกมากมาย และวิชาหนึ่งที่หลวงปู่ตี๋ท่านสำเร็จเป็นเลิศและศิษย์หลวงพ่อกวยทุกท่านต่างทราบดีและยกย่องท่านนั้นก็คือ วิชาตัวเบา สามารถนั่งและเดินบนผิวน้ำได้ อีกวิชาที่ท่านสำเร็จและขึ้นชื่อคือ วิชามือยาวรอดรูดาน สามารถหยิบสิ่งของไกลๆ และมีช่องเล็กๆได้
หลวงปู่ตี๋ท่านมีความสนใจในวิชาอาคมและวิชาต่างๆมาก ซึ่งคนโบราณเรียกว่า “คงแก่เรียน” จึงได้พยายามเสาะแสวงหาพระอาจารย์เก่งๆและเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์เพิ่มเติมอยู่เสมอ อาทิ หลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ จ.ชัยนาท ท่านได้วิชาย่นระยะทาง และกำบัง ส่วนหลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญ จ.สิงห์บุรี นั้นท่านได้วิชาแป้งเสก
ท่านออกจากวัดกระเสียวขณะที่เป็นเจ้าอาวาสและธุดงค์เรื่อยๆ เพื่อจะไปเรียนวิชาต่อกับหลวงพ่อกวย จนมาเจอวัดเขาเขียวพนาราม อ.เดิมบางนางบวช ในปี พ.ศ.๒๕๑๓ ซึ่งเดิมเป็นวัดร้าง และมีโรงเรียนร้าง ท่านจึงตัดสินใจที่อยู่ที่นั่น แต่ท่านต้องสู้กับเจ้าพ่อเขาเขียว (เจ้าที่) ที่ไม่ยอมให้ท่านสร้างวัดที่นั่น ตอนนั้นเวลานอนท่านยังนอนในกลดเช่นเดียวกับลูกศิษย์
คืนที่โดนเจ้าที่ลองก็คือ มีฝูงวัวควายวิ่งกันฝุ่นตลบนอกกลดจะเข้ามาทำร้ายท่านกับลูกศิษย์ แต่ท่านรู้จึงสั่งลูกศิษย์ว่า ตอนกลวงคืนไม่ว่ามีอะไร ห้ามออกจากกลดเด็ดขาด ถ้าจะตายก็ให้ตายด้วยกัน คืนนั้นลูกศิษย์ท่านกลัวมากและคิดว่าท่านหลับแล้วจะวิ่งออกนอกกลด แต่ท่านกระแอม ลูกศิษย์จึงมีสติและนึกถึงคำสั่งของท่านได้ เช้าวันรุ่งขึ้นมีชาวบ้านมานิมนต์ให้ท่านอยู่ที่นี่ และทำพิธีแบ่งเขตกันระหว่างวัดกับเจ้าพ่อเขาเขียว
ระหว่างที่ท่านอยู่เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาเขียวนั้น ท่านถูกทำร้ายอยู่หลายๆครั้ง ทำให้ลูกศิษย์ถามท่านว่า “ทำไมหลวงพ่อไม่ย้ายวัด เพราะมีหลายวัดที่อยากได้หลวงพ่อไปจำพรรษาอยู่” แต่ท่านกลับบอกว่า “ต้องการใช้กรรมให้หมดในชาตินี้ ไม่ต้องการใช้กรรมนี้ในชาติต่อไป”
ตอนที่ท่านโดนทำร้าย บางคนใช้มีดฟันศีรษะท่านเลย ลูกศิษย์เคยถามว่า “หลวงพ่อไม่กลัวหรือ?” ท่านกลับพูดติดตลกว่า “กลัวมีดของมันจะบิ่นมากกว่า” เมื่อหลวงปู่ตี๋จำพรรษาอยู่วัดเขาเขียวได้พัฒนาวัดจากสำนักสงฆ์จนเป็นรูปเป็นร่างและกลายเป็นวัดขึ้นมา
ต่อมาท่านชราภาพมาก และเจ็บป่วยบ่อยครั้ง ลูกศิษย์จึงนิมนต์ให้มาจำพรรษาอยู่วัดท่ามะกรูด อ.สามชุก ซึ่งอยู่ใกล้โรงพยาบาลมากกว่าวัดเขาเขียวฯ และถนนหนทางก็สะดวกมากกว่า ท่านจึงจำพรรษาอยู่ที่วัดท่ามะกรูดจนกระทั่งมรณภาพเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ สิริอายุได้ ๘๕ ย่าง ๘๖ ปี พรรษาที่ ๖๕
หลวงปู่ตี๋ท่านมักปลุกเสกวัตถุมงคลในบาตรพระ และวัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสกนั้นมักจะวิ่งส่งเสียงดังเสมอ โดยท่านเริ่มสร้างวัตถุมงคลครั้งแรกสมัยที่เป็นเจ้าอาวาสวัดกระเสียว วัตถุมงคลที่ท่านสร้างครั้งแรกคือ เหรียญรุ่นแรก ออกที่วัดกระเสียว โดยแรกเริ่มท่านตั้งใจจะสร้างปี พ.ศ. ๒๕๑๒ แต่ไปปรึกษาหลวงพ่อมุ่ย และหลวงพ่อมุ่ยท้วงว่าให้สร้างปี ๒๕๑๓ จะดีกว่า ท่านจึงสร้างเหรียญรุ่นแรกในปีพ.ศ.๒๕๑๓ ตามคำแนะนำของหลวงพ่อมุ่ย
พอโรงงานปั๊มเหรียญทำเหรียญออกมาเสร็จ ท่านก็นำไปให้หลวงพ่อมุ่ยเสกเป็นรูปแรก จากนั้นจึงนำมาให้หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตารามเสกอีกเป็นรูปที่2 แล้วจึงนำกลับมาเสกเองที่วัดอีกเรื่อยๆมาเป็นเวลาหลายไตรมาส เหรียญนี้สร้างออกมาเพียงเนื้อเดียวคือ ทองแดงรมดำ จำนวน 10,000 เหรียญ ที่สำคัญ! เหรียญนี้มีปลอมออกมานานแล้ว
เหรียญรุ่นแรกของท่านนี้ ลูกศิษย์นิยมเรียกกันว่า “เหรียญหนีลูกปืน” คือมีที่มาของชื่ออยู่ว่า หลังจากหลวงพ่อมุ่ยและหลวงพ่อกวยและหลวงปู่ตี๋ท่านเสกเรียบร้อยแล้ว มีลูกศิษย์ได้รับแจกเหรียญนี้ไป ได้นำเหรียญนี้ไปลองยิงกันที่หลังวัด ปรากฏว่า นัดแรกยิงไม่ออก นัดที่สองออก แต่ไม่ถูก เพราะขณะประทับปืนจะยิงเหรียญอยู่ๆนั้น เหรียญดังกล่าวก็หายไปทันตา คนยิงจึงมองไม่เห็นเหรียญ จึงยิงไม่ถูก สุดท้ายก็เลยต้องไปกราบขอขมาหลวงปู่ตี๋ท่าน
ที่วัดกระเสียว นอกจากเหรียญรุ่นแรกของท่านแล้ว ท่านยังสร้างวัตถุมงคลอื่นขึ้นมาอีกด้วย คือ ภาพถ่ายขนาด๕นิ้ว และ ล็อกเก็ตห่มคลุม
ต่อมาเมื่อท่านจำพรรษาและมาเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดเขาเขียว อ.เดิมบางนางบวช ได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นมาอีกหลายรุ่น หลายชนิด อาทิ ภาพถ่ายขนาดบูชารุ่นแรก , ภาพถ่ายขนาดคล้องคอรุ่นแรก , รูปหล่อรุ่นแรก , พระผงรูปเหมือนรุ่นแรก, ตะกรุด , มีดหมอ , ปลัดขิก , ผ้ายันต์ , ภาพถ่ายต่างๆ, เหรียญต่างๆ, พระบูชา , พระพิมพ์ต่างๆ , ฯลฯ
ทั้งนี้ ลูกศิษย์ของท่านที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันคือ "พระอาจารย์ปฐวี ปภากโร " หรือที่เรียกขานกันว่า "พระอาจารย์ตู่" แห่งที่พักสงฆ์ทศพรบ้านสิงห์ ต.สิงห์ อ.เมือง จ.ยโสธร ศิษย์เอกและลูกบุญธรรมที่หลวงปู่ตี๋เลี้ยงดูมาและถ่ายทอดวิชาให้ตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ โดยหลวงปู่ตี๋ไว้วางใจให้ปลุกเสกวัตถุมงคลคู่กับท่าน รวมทั้งได้ถอดวิชาพร้อมมอบตำราหลวงพ่อกวยให้ท่านสืบทอดแทน
เมื่อครั้งยังมีชีวิต หลวงปู่ตี๋ท่านไม่อยากเปิดเผยตัว เพราะท่านรักสันโดษ ชอบความสงบ และมักออกธุดงค์เสมอ จนกายสังขารท่านชรา ท่านจึงเลิกออกธุดงค์ และอยู่ที่วัดเขาเขียว จนกระทั่งปี ๒๕๔๙ พระอาจารย์ตู่ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นฆราวาส และศิษย์คนสุดท้ายได้รับท่านมาอยู่ที่บ้าน เพื่อรักษาตัวจากอาการป่วยต่างๆ เนื่องจากท่านถูกทำร้าย ๓ ครั้งแต่ไม่ตาย เพียงแต่สลบไปเท่านั้น
พระอาจารย์ตู่จึงขออนุญาตต่อหลวงปู่ตี๋เปิดเผยเรื่องราวของท่านให้ผู้คนได้รับทราบ และได้มาทำบุญกับท่าน ท่านจึงอนุญาตให้พระอาจารย์ตู่ดูแลรับผิดชอบในเรื่องต่างๆ แทนท่านตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อมีผู้คนเดือดร้อนในเรื่องต่างๆ มาให้หลวงปู่ตี๋ช่วย หลวงปู่ก็มักจะให้พระอาจารย์ตู่ดำเนินการแทน โดยมีหลวงปู่คอยควบคุมใกล้ชิดตลอดเวลา
#ฉัตรสยาม
Comments