รำลึกครบ 208 ปีคล้ายวันประสูติสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ(สา)สังฆราช18ประโยค-วัดราชประดิษฐ์
- อ.อนุชา ทรงศิริ
- 19 ส.ค. 2564
- ยาว 1 นาที
รำลึกครบ 208 ปีคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ(สา) สังฆราช18ประโยค-วัดราชประดิษฐ์
ทีมข่าวกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์คัมภีร์นิวส์ ร่วมน้อมรำลึก วันพฤหัสบดีที่ 19 ส.ค.2564 หนังสือพิมพ์คัมภีร์นิวส์ร่วมน้อมรำลึกครบรอบ 208 ปี คล้ายวันประสูติ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (สา ปุสสเทโว) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ.2436 ถึงปี พ.ศ.2442 รวม 6 ปี
พระองค์เป็นสามเณรเปรียญ 9 ประโยค องค์แรกในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ เข้าสอบบาลียุคปากเปล่า และแปลบาลี 9 ประโยค รวดเดียวกันได้ถึง 2 ครั้ง เป็นความสามารถอันยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน จนได้รับฉายาเป็น"เปรียญ 18 ประโยค"
พื้นเพเดิมเป็นชาว ต.บางไผ่ จ.นนทบุรี ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 9 แรม 8 ค่ำ ปีระกา จุลศักราช 1175 ตรงกับวันที่ 19 ส.ค.2356 ในรัชกาลที่ 2 บิดาชื่อ จันท์ มารดาชื่อ สุข มีพี่น้องชายหญิงรวม 5 คน
บิดาเป็นชาวต.เชิงกราน จ.ราชบุรี เคยบวชเรียนจนเป็นผู้ชำนาญในการเทศน์มิลินท์และมาลัย และยังเป็นผู้มีความรู้ทั้งหนังสือและปริยัติธรรม ถึงขั้นเป็นอาจารย์บอกหนังสืออยู่ในพระราชวังบวรด้วยท่านหนึ่ง การศึกษาขั้นต้นจึงได้รับการถ่ายทอดจากบิดา ส่งให้มีอุปนิสัยน้อมนำไปในทางธรรมแต่เยาว์วัย บรรพชาที่วัดใหม่ บางขุนเทียน แล้วย้ายมาอยู่วัดสังเวชวิศยาราม เพื่อเล่าเรียนพระปริยัติธรรม โดยเข้าไปเรียนในพระราชวังบวรกับอาจารย์อ่อน (ฆราวาส) และบิดา
พระชนมายุ 14 ปี เข้าแปลพระปริยัติธรรมเป็นครั้งแรก ได้เพียง 2 ประโยค จึงยังไม่ได้เป็นเปรียญ แต่เรียกกันว่า “เปรียญวังหน้า” ต่อมา ถวายตัวเป็นศิษย์อยู่ในสำนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งทรงผนวชประทับอยู่ ณ วัดราชาธิวาส เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมต่อเป็นเวลา 4 ปี
พระชนมายุ 18 ปี เข้าแปลพระปริยัติธรรมอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ทรงแปลได้หมดรวดเดียว 9 ประโยค เป็นเปรียญเอกแต่ยังทรงเป็นสามเณร ครั้นถึงปี พ.ศ.2376 มีพระชนมายุครบ 20 ปี เข้าอุปสมบทที่วัดราชาธิวาส มีพระนามฉายาว่า “ปุสโส” ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าพระอุปัชฌาย์และพระกรรมวาจาจารย์คือใคร ปี พ.ศ.2379 รัชกาลที่ 3 ทรงอาราธนาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ให้เสด็จมาทรงครองวัดบวรนิเวศ ท่านก็ตามเสด็จมาอยู่ด้วย
ครั้น พ.ศ.2382 ขณะมีพระชนมายุเพียง 26 ปี ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่ “พระอมรโมลี”
อย่างไรก็ตาม ท่านทรงลาสิกขาออกไปครองชีวิตฆราวาสอยู่ระยะหนึ่ง กระทั่ง พ.ศ.2394 ปีแรกแห่งรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้สมเด็จฯ อุปสมบทใหม่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระศรีวิสุทธิวงศ์ (ฟัก โสภิโต) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
การอุปสมบทครั้งนี้ พระชนมายุ 38 ปี และได้พระนามฉายาว่า “ปุสสเทโว” เข้าแปลพระปริยัติธรรมรวดเดียว 9 ประโยคอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้กล่าวขวัญถึงพระองค์ด้วยสมญานามอันแสดงถึงคุณลักษณะพิเศษนี้ ว่า “สังฆราชสา 18 ประโยค” ในกาลต่อมารัชกาลที่ 4 ทรงโปรดแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่ “พระสาสนโสภณ” รูปแรก
ครั้น พ.ศ.2408 เมื่อการสร้างวัดราชประดิษฐ์เสร็จสิ้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดให้อาราธนาท่านมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสรูปแรก
สมัยรัชกาลที่ 5 โปรดสถาปนาเลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ “พระธรรมวโรดม” และสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ ตำแหน่งที่ “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ” ครั้นวันที่ 29 พ.ย.2436 ทรงโปรดสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระสังฆราช (สา) ทรงเป็นที่เคารพและสนิทคุ้นเคยในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นอันมาก
พระกรณียกิจในด้านต่างๆ ด้านการศึกษา ทรงเป็นหลักเป็นประธานในการสอบพระปริยัติธรรม ในฐานะที่ทรงเป็นผู้ชำนาญในพระไตรปิฎกและมคธภาษาเป็นอย่างยิ่ง
ทรงวางเป็นแบบแผนธรรมเนียมทางการพระศาสนาขึ้นหลายอย่าง ที่สำคัญคือได้ทรงจัดแบบพิธีสวดนพเคราะห์แบบใหม่เรียกว่า “สวดนวคหายุสธรรม” ซึ่งแบบแพร่หลายสืบมา เป็นพระปริตรอย่างหนึ่งที่ยังนิยมสวดกันอยู่ นอกจากนี้ ทรงรวบรวมและจัดระเบียบการสวดการใช้หนังสือสวดมนต์ฉบับหลวง พร้อมทั้งนิพนธ์บทขัดตำนาน (เป็นคาถาภาษามคธ) สำหรับปาฐะและพระสูตรนั้นๆ จนตลอดเล่ม ปัจจุบันก็ยังใช้เป็นแบบสำหรับสาธยายในวัดทั่วไป
ในบั้นปลายแห่งพระชนม์ชีพ พระองค์ประชวรด้วยพระโรคบิดประกอบกับพระโรคชรา สิ้น พระชนม์เมื่อวันที่ 11 ม.ค.2442 นับพระชนมา ยุได้ 87 พรรษา ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช 6 ปี






Comentários