top of page
ค้นหา
  • รูปภาพนักเขียนอ.อนุชา ทรงศิริ

"หลวงปู่ทา นาควัณโณ" วัดศรีสว่างนารามี เกจิดังเมืองนักปราชญ์อุบลฯสายพุทธาคม"สมเด็จลุน" ศิษย์เอกรุ่นสุดท้าย"หลวงปู่ญาท่านตู๋"

"หลวงปู่ทา นาควัณโณ" วัดศรีสว่างนาราม

เกจิดังเมืองอุบลฯสายพุทธาคม"สมเด็จลุน"

ศิษย์เอกรุ่นสุดท้าย"หลวงปู่ญาท่านตู๋"

ทีมข่าวกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์คัมภีร์นิวส์ ขอนำเสนอประวัติ"หลวงปู่ทา นาควัณโณ " อายุย่าง 92 ปี เจ้าอาวาสวัดศรีสว่างนาราม อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี พระเกจิเรืองวิทยาคมสายสมเด็จลุนแห่งประเทศลาว ศิษย์เอกรุ่นสุดท้าย "หลวงปู่ญาท่านตู๋ ธัมมสาโร" วัดสุขาวาส จ.อุบลราชธานี เกจิสายตรงที่ร่ำเรียนวิชาอาคมมาจากสมเด็จลุน

ท่านมีนามเดิมว่า "ทา เทพคุ้ม" เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2475 ณ บ้านพะไล อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี เป็นบุตรคนเดียว บิดาชื่อ"จันทร์" มารดาชื่อ"ทอง" ตอนเป็นเด็กมารดาล้มป่วยชาวบ้านเรียกว่า “ผีเข้า” รักษาทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ ที่ไหนว่าดี ที่ใหนว่าเก่งก็ไปมาหมด แม้แต่ทางไสยศาสตร์ หมอผี หมอธรรม ก็ลองรักษามาหมด แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น มีแต่ทรงกับทรุด

ความหวังและที่พึ่งเดียวในตอนนั้นคือ กราบขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บของมารดาให้หายไป แต่ทุกอย่างก็ไร้ผล ด้วยความกตัญญูกตเวทีและไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา ท่านไม่ลดละยังเสาะแสวงหาหนทางรักษามารดาอยู่ตลอดเวลา เชื่อเสมอว่าความดีจะบันดลให้ร้ายกลายเป็นดี

ครั้งหนึ่งท่านมีโอกาสไปกราบ"หลวงปู่ญาท่านตู๋ ธัมมสาโร" วัดสุขาวาส อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี จึงเล่าอาการป่วยของมารดาให้ฟัง ด้วยความเมตตาและเอ็นดูหลวงปู่ญาท่านตู๋จึงถามว่า "หากรักษาให้หายได้จะขอให้มาเป็นบุตรและบวชได้หรือไม่" คำตอบคือ “ได้” โดยทันที หลวงปู่ญาท่านตู๋จึงรักษาตามวิชาสายธรรมตามที่ได้ร่ำเรียนมาจากหลวงปู่สำเร็จลุน แห่งนครจำปาสัก จะด้วยปาฏิหาริย์หรือเหตุผลใดๆก็ตาม สิ่งอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นมารดาได้หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง

สำหรับญาท่านตู๋ ธัมมสาโร ท่านเป็นศิษย์ของผู้วิเศษในตํานานแห่งอําเภอตระการพืชผลทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ สําเร็จลุน แห่งนครจําปาศักดิ์ ญาท่านสีดา แห่งวัดสิงหาญ และญาท่านพันธ์ แห่งวัดบ้านกระเดียน เล่ากันว่าท่านมีฤทธิ์มาก จนสามารถเดินข้ามแม่น้ำโขงได้อย่างสบายไม้แพ้สําเร็จลุน อาจารย์ของท่านเลยทีเดียว ซึ่งประวัติของท่านยังไม่ค่อยมีคนรู้จักเป็นที่แพร่หลาย

ด้วยยึดมั่นในสัจจะและศรัทธาต่อหลวงปู่ญาท่านตู๋ ในปี พ.ศ. 2487 อายุได้ 12 ปีจึงบรรพชาเป็นสามเณรจำพรรษาที่วัดบ้านคำต่องล่อง (ปัจจุบันเป็นต.คำเจริญ) อ.ตระการ พืชผล จ.อุบลราชธานี อยู่กับหลวงปู่ญาท่านตู๋ศึกษาพระธรรมและคำสั่งสอนด้วยความพากเพียร จนกระทั่งปี พ.ศ. 2490 หลวงปู่ญาท่านตู๋เห็นว่า แม้ท่านอายุยังน้อย บรรพชาได้ไม่กี่ปี แต่มีสติปัญญาหลักแหลม มีวิริยะอุตสาหะ เห็นควรออกธุดงค์เพื่อบำเพ็ญศีล ภาวนา ศึกษาพระธรรมในขั้นสูงต่อไป นับตั้งแต่นั้นมาท่านจึงติดตามหลวงปู่ญาท่านตู๋ธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆในประเทศลาว เช่น ภูมะโรง ภูสามชั้น ภูกลางเฮือน แก่งหลี่ผี คอนพะเพ็ง ภูไม้ล้มแบ่ง และภูเขาควาย เป็นต้น

ปีพ.ศ. 2492 หลวงปู่ญาท่านตู๋พาไปฝากตัวเป็นศิษย์"หลวงปู่แหวน สุจิณโณ" วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ เพื่อศึกษาวิชากรรมฐาน โดยมีพระอาจารย์หนู (หลวงปู่หนู สุจิตโต) เป็นพระพี่เลี้ยง ท่านใช้เวลาศึกษาสรรพวิชา ฝึกจิต ภาวนาอยู่วัดดอยแม่ปั๋ง 4 เดือน หลังจากนั้นก็ออกติดตามหลวงปู่ญาท่านตู๋ธุดงค์ตามชายแดนประเทศพม่า ผ่านป่าเขาลำเนาไพรถิ่นลี้ลับอาถรรพ์ เผชิญทั้งสัตว์ร้ายและสิ่งเร้นลับมากมาย ก่อนมุ่งหน้ากลับจ.อุบลราชธานี โดยระหว่างทางได้พบเสวนาธรรมกับพระธุดงค์อีกหลายรูป

ปี พ.ศ. 2495 อายุครบ 20 ปีได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดสุขาวาส บ้านเวียง อตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี โดยมีหลวงปู่ญาท่านตู๋ เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้ศึกษาอักขระเวทมนต์คาถาพุทธาคมสายสำเร็จลุนในขั้นสูงจากหลวงปู่ญาท่านตู๋จนหมดภูมิ

จากนั้นปี พ.ศ. 2498 ได้ออกธุดงค์ตามลำพังไปบำเพ็ญเพียรตามป่าเขาในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เช่น ภูด่านทอง ภูด่านกอย ภูผาผึ้ง ภูหล่น ถ้ำเหวสินธุ์ชัย ถ้ำโตงเตง ลงไปถึงชายแดนประเทศกัมพูชา เช่น ภูจองนายอย เป็นต้น โดยบำเพ็ญภาวนาอยู่ถึง 3 เดือนและยังเวียนธุดงค์ขึ้นไปอยู่เป็นประจำ

ปีพ.ศ. 2503 อายุ 28 ปี สถานการณ์จังหวัดอุบลราชธานีเกิดขบวนการพรรคคอมมิวนิสต์ ทางอำเภอและชาวบ้านเห็นว่าท่านเป็นผู้รอบรู้ มีสติปัญญา ไปมาหลายที่ รู้จักภูมิศาสตร์พื้นที่เป็นอย่างดี จึงขอให้ท่านลาสิกขาออกมาเป็นผู้นำชุมชนต่อต้านคอมมิวนิสต์ แต่ท่านประสงค์ศึกษาพระธรรมเป็นทุน จึงตอบปฏิเสธไป แต่สุดท้ายก็มีการขอร้องเชิงบังคับจากทางราชการ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลวงปู่ทามุ่งแต่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดตามแนวทางสายสำเร็จลุนและญาท่านตู๋จนเป็นที่ยอมรับและให้ความเคารพของประชาชน ท่านได้ใช้สรรพวิชาต่างๆ ที่ร่ำเรียนมาช่วยปัดเป่า ช่วยเหลือ คลายทุกข์สงเคราะห์ให้กับชาวบ้านญาติโยมอย่างเต็มความสามารถ โดยไม่เลือกปฏิบัติแบ่งชั้นหรือวรรณะ ผู้ใดที่ไปที่วัดล้วนแต่ได้รับความสบายใจ อิ่มเอมในธรรมที่ท่านสั่งสอน ด้วยความมีเมตตาของหลวงพ่อ ทำให้ผู้ที่ได้ไปที่วัดต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ควรค่าแก่การกราบไหว้อย่างแท้จริง!


ดู 29 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page