"ครูบาอุ่น อตฺถกาโม"วัดโรงวัว จ.เชียงใหม่ เกจิล้านนา-เมตตาบารมีสูง/ดัง"พระขุนแผน"
- อ.อนุชา ทรงศิริ
- 11 พ.ค. 2567
- ยาว 2 นาที
"ครูบาอุ่น อตฺถกาโม"วัดโรงวัว จ.เชียงใหม่
เกจิล้านนา-เมตตาบารมีสูง/ดัง"พระขุนแผน"
ทีมข่าวกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์คัมภีร์นิวส์ขอนำเสนอประวัติพระครูอรรถกิจจาทร "ครูบาอุ่น อตุถกาโม"วัดโรงวัว ต.แม่ก๊า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ พระดีเกจิดังแห่งล้านนา ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม วัตถุมงคลเข้มขลัง โด่งดัง"พระขุนแผนหลังวัวธนู"
ท่านมีนามเดิมว่า "อุ่น ไชยองค์การณ์" ถือกำเนิด ณ หมู่บ้านโรงวัว ต.แม่ก๊า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ - ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๑ บิดาชื่อ"บุญชุ่ม" มารดาชื่อ "กาบคำ" เป็นบุตรคนที่ ๔ ในจำนวนพี่น้องร่วมท้อง ๙ คน เป็นชาย ๖ คน หญิง ๓ คน ปัจจุบันพี่น้องเสียชีวิตหมดแล้ว ซึ่งพี่ชายทุกคนได้บวชเรียนสืบเนื่องต่อกันมา เมื่ออายุได้ ๘ ขวบพี่ชายที่บวชเรียนอยู่ก่อนแล้วได้พาเข้ามาศึกษาภายในวัดทั้งภาษาไทย และภาษาล้านนาเป็นเวลา๘ ปี
เมื่ออายุครบ ๑๒ ขวบจึงบรรพชาเป็นสามณรโดยครูบาตำ เรณุวณโณ ( เจ้าอาวาส
วัดโรงวัวในขณะนั้น ) ได้เข้าเรียนพระปริยัติธรรมและพระธรรมวินัยจากสำนักวัดโรง
วัว จนจบนักธรรมชั้นเอก นอกจากนั้น ยังศึกษาหาความรู้ในการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน รักษาศีล เจริญภาวนาสมาธิ และมีความสนใจในพระคาถา พระยันต์ต่างๆเป็นพิเศษ จึง
ศึกษาจากตำราโบราณเก่าแก่ของวัดโรงวัวที่สืบทอดกันมายาวนานกว่า 350 ปี
เมื่ออายุ ๒๗ ปีจึงเข้าอุปสมบท ณ อุโบสถวัดโรงวัว เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๔๙๗ โดยมี ครูบาตำ เรณุวณุโณ วัดโรงวัว เป็นพระอุปัชฌาย์ ครูบามูล วิสุทโธ วัดแม่ก๊า เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูดี ตันติกโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "อตถกาโม" หลังบวชได้จำพรรษาที่วัดโรงวัว
คอยปรนนิบัติพระอุปัชฌาย์ ช่วยอบรมสั่งสอนหนังสือและดูแลนักเรียนทั้งหลาย ซึ่งวัดโรงวัวขณะนั้นเป็นสถานที่สอนหนังสือแก่สามเณร เด็กวัดในละแวกนั้นมาอาศัยอยู่ที่วัดกว่า ๖๐ ชีวิต)
ต่อมาท่านรับคำสั่งจากครูบาตำให้ไป
รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสันกอเก็ด ต.แม่ก๊า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เนื่องจากโยมมารดาครูบาตำบริจาคที่ดินให้วัดสันกอเก็ด แต่ติดที่ครูบาตำยังเป็นเจ้าอาวาสวัดโรงวัว และเจ้าคณะตำบลแม่ก๊าอยู่ จึงไม่สามารถย้ายไปวัดสันกอเก็ด เพราะวาระการดำรง
ตำแหน่งยังไม่สิ้นสุด
จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๓๘ วาระการดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลแม่ก๊าสิ้นสุดลง ครูบาตำจึงลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโรงวัวด้วยแล้วกลับไปจำพรรษายังวัดสันกอเก็ด วัดบ้านเกิด ครูบาอุ่นจึงย้ายกลับมาจำพรรษา และรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโรงวัวแทน โดยรับภาระทั้งหมดของวัด รวมทั้งคอยดูแลบูรณะเสนาสนะ สอนหนังสือภาษาไทย ภาษาพื้นเมืองล้านนาให้แก่สามเณร เด็กวัด
ในปีเดียวกันนี้ ท่านได้เริ่มบูรณะโบสถ์หลังเก่าให้สมบูรณ์แข็งแรง ถึงปี พ.ศ.๒๕๔๕ ครูบาตำมรณภาพลง ครูบาอุ่นจึงรับเป็นเจ้าภาพทั้งหมด และดูแลจนงานเสร็จสิ้น
หลังจากย้ายกลับมาจำพรรษา ณ วัดโรงวัวได้หนึ่งปี วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๓๙ ทางคณะสงฆ์จึงสถาปนาประทวนสมณศักดิ์เป็น "พระครูอุ่น ตถกาโม" เจ้าอาวาสวัดโรงวัว
ถัดมาอีกสี่ปี เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๓ ท่านได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นเจ้าอาวาสวัตราษฎร์ชั้นโทที่ "พระครูอรรถกิจจาทร" ซึ่งช่วงนี้ท่านได้เริ่มบูรณะวัดครั้งใหญ่ เช่น สร้างศาลาบำเพ็ญบุญ กำแพงแก้ววัด ห้องสุขา และบูรณะกุฏิหลังเก่า ต่อมาวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๓ ท่านได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นเอกในราชทินนามเดิม
ด้านงานสาธารณะประโยชน์ ท่านมิได้สร้างแต่วัดโรงวัวเท่านั้น ตลอดช่วงชีวิตของ
ท่านตั้งแต่บรรพชาได้บริจาคทุนการศึกษาให้เด็กด้อยโอกาส บริจาคตามสถานที่ต่างๆที่ขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค ร่วมบริจาคเงินสบทบทุนบูรณะสร้างวัดวาอารามทั้งใน
และนอกจังหวัดหลายแห่ง
ชื่อเสียงของท่านเริ่มโด่งดังไปสู่ภายนอก ด้วยความเมตตาทำให้มีคณะศรัทธา ลูกศิษย์เดินทางมาหามากขึ้นอย่างไม่ขาดสาย และยังได้รับกิจนิมนต์อีกมากมายหลายแห่งทั้งงานเล็กงานใหญ่ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลแค่นั้น ท่านก็รับนิมนต์หมด อีกทั้งได้รับนิมนต์ไปร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลหลายรุ่น
แม้ครูบาอุ่นจะมีหน้าที่ตำแหน่งทางคณะสงฆ์แต่ก็มิได้ละการปฏิบัติทางธรรม ท่านยังคงนั่งสมาธิเจริญภาวนา อบรมสั่งสอนศรัทธาชาวบ้านอยู่เช่นเดิม แม้วัยที่ย่างเข้า ๙๖ ปี แต่ท่านยังคงแข็งแรง เดินเหินคล่องแคล่ว ยิ้มแย้มแจ่มใส ต้อนรับศรัทธาสาธุชนด้วยเสียงดังฟังชัด และความเมตตาเช่นเดิม
ด้านวัตถุมงคล ในยุคตันๆนั้นท่านจะจารตะกรุดยันต์พันช่อง มีขนาดต่างๆกันไปพันเชือกสีแจกให้แก่ญาติโยมที่มากราบ และในปี พ.ศ.๒๕๔๖ มีคณะศิษย์มาขอจัดสร้างเหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกเพื่อร่วมสมทบทุนบูรณะปฏิสังขรณ์วัดโรงวัว
สำหรับวัตถุมงคลที่สร้างชื่อเสียงของท่านให้โด่งดังเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเดิมก็คือ"พระขุนแผนรุ่นแรก หลังปั๊มวัวธนู ซึ่งมีศิษย์สร้างถวายในปี พ.ศ.๒๕๔๙ แจกให้แก่คณะศรัทธาที่มาทอดผ้าป่า เด่นทางเมตตาสุดยอด เหมือนขุนแผนครูบาจันต๊ะ เพราะมีมวลสารจากขุนแผนรุ่นแรก และรุ่น2ของครูบาจันต๊ะอยู่ด้วย มีผู้นำไปบูชาแล้วเห็นผลทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ ค้าขายดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการสร้างตามแต่วาระและโอกาสต่างๆ ทั้งครูบาท่านสร้างเอง ลูกศิษย์วัดจัดสร้าง และศิษย์สร้างถวาย แล้วแต่ผู้ศรัทธาทุกท่านจะเลือกใช้เพราะวัตถุมงคลที่ผ่านการอธิษฐานจิตจากท่าน กล่าวขานกันว่ามีพุทธคุณความศักดิ์สิทธิ์ดีทุกอย่าง
สำหรับวัดโรงวัวตั้งอยู่ ณ เลขที่ ๑๙๗ หมู่ที่ ๒ ต.แม่ก๊า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ สังกัด
มหานิกาย มีเนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน ๗๖ ตารางวา และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๙ ตามประวัติเดิมชื่อ "วัดผางวัว" เป็นวัดร้างมาก่อนตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๒๑๐ ในสมัยนั้นมีพ่อค้าวัวจากต่างถิ่นทั้งใกล้และไกลเดินทางนำเอาวัว ควายไปขาย และหยุดพักแรม ณ สถานที่แห่งนี้ บรรดาพ่อค้าเหล่านั้นจึงช่วยกันสร้างปะรำ (ผาง) เป็นที่พักอาศัย จนกระทั่งมีผู้คนเดินทางอพยพทยอยเข้ามาตั้งรกรากถิ่นฐาน สร้างบ้านเรือนพักอาศัยเกิดขึ้นเป็นหมู่บ้าน แกนนำหมู่บ้านคือ"พ่อใจ" จึวชักชวนชาวบ้านที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาช่วยกันแผ้วถางสร้างวัดขึ้น และตั้งชื่อว่า "วัดผางวัว" ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดโรงวัว" สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ลำดับเจ้าอาวาสปกครองวัดสืบต่อกันมาดังนี้
๑. พระคำ ๒. พระอุทัย ๓. พระครอง ๔.พระใจ ๕-๖.ไม่ทราบข้อมูล ๗.ครูบาโปธา สุริโย
๘.พระอธิการปวน อินทจกโก ๙.ครูบาตำ เรณุวณุโณ ๑๐.ครูบาอุ่น อตถกาโม
หลังจากการปกครองของเจ้าอาวาสรูปที่ ๕-๖ ได้สิ้นสุดเกิดการเว้นว่างลง วัดโรงวัวในขณะนั้นขาดการดูแล ทำให้เสนาสนะทรุดโทรมลงอย่างมาก ชาวบ้านจึงไปนิมนต์ท่านครูบาโปธา สุริโย อายุ ๙๐ ปี (ศิษย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย) วัดดอยจอมแจ้ง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ มารับตำแหน่งเจ้าอาวาสรูปที่ ๗ ซึ่งท่านมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขานในด้านของ
คาถาอาคมต่างๆ และได้ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์มากมายทั้งยังเป็นตำราตกทอดมาถึงปัจจุบันด้วย
ต่อมาครูบาโปธาขอลาออกจากตำแหน่งเพื่อไปสร้างวัดดอยชิว อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ และถึงแก่การมรณภาพที่วัดนั้น วัดโรงวัวจึงถูกดูแลต่อโดยศิษย์ของท่านคือพระอธิการป่วน อินทจกฺโก เรื่อยมาจนถึงครูบาตำ และครูบาอุ่น ตามลำดับ
Comments