top of page
ค้นหา

พระเทพวชิรากร"พระอาจารย์ชัย ปุรินฺทโก" เกจิดังเมืองกระบี่/วัดมหาธาตุวชิรมงคล ศิษย์สายกรรมฐาน"ลพ.จำเนียร วัดถ้ำเสือ"

  • รูปภาพนักเขียน: อ.อนุชา ทรงศิริ
    อ.อนุชา ทรงศิริ
  • 29 เม.ย. 2567
  • ยาว 2 นาที

พระเทพวชิรากร"พระอาจารย์ชัย ปุรินฺทโก"

เกจิดังเมืองกระบี่/วัดมหาธาตุวชิรมงคล

ศิษย์สายกรรมฐาน"ลพ.จำเนียร วัดถ้ำเสือ"

ทีมข่าวกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์คัมภีร์นิวส์ ขอนำเสนอประวัติ...พระเทพวชิรากร (พิศาล ปุรินฺทโก) รองเจ้าคณะภาค17 เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุวชิรมงคล (วัดบางโทง) ต.นาเหนือ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ หรือ"พระอาจารย์ชัย" อดีตเจ้าอาวาส วัดราษฎร์อุปถัมภ์ (วัดบางเหรียง) ต.บางเหรียง อ.ทับปุด จ.พังงา ศิษย์เอกวิปัสสนากรรมฐาน "หลวงพ่อจำเนียร สีลเสฎโฐ" วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่

ท่านมีนามเดิมว่า "สมชัย" (ในทะเบียนบ้านชื่อ"พิศาล") เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ณ บ้านทุ่งสูง หมู่ที่ ๔ ต.นาเหนือ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ บิดาชื่อ นายไข่ มารดาชื่อ นางเนียบ นามสกุล"แก้วมา" เป็นบุตรคนที่5ในจำนวนะน้อง7คน วัยเด็กเข้าศึกษา

ในโรงเรียนเหมือนเด็กต่างจังหวัดตามท้องไร่

ท้องนาทั่วไป เผอิญทางเดินไปโรงเรียนต้องผ่านศาลาการเปรียญของวัดประจำหมู่บ้านหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “โรงธรรม” และศาลาฯ นี้มีพระพุทธรูปปางนั่งสมาธิประดิษฐานอยู่องค์หนึ่ง ท่านบอกว่ารู้สึกอิ่มเอมใจอย่างประหลาด เมื่อได้เห็นพระพักตร์ของพระพุทธรูปองค์นั้น

ดังนั้น บางวันท่านก็แวะเวียนอยู่ในวัดครั้งละนาน ๆ บางครั้งได้เงินซื้อขนมก็เอาไปซื้อธูปเทียนมาบูชาพระ แล้วนั่งมองแสงเทียนด้วยความรู้สึกสงบเย็น พฤติกรรมของท่านในวัยเด็กจึงแปลกจากเด็กทั่วไป เพราะจะมีท่าทางสงบเสงี่ยม สุขุมเยือกเย็น ไม่นิยมการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและซุกซนเหมือนเด็กชายทั่วๆไป โดยผู้ที่สังเกตเห็นพฤติกรรมนี้ก็คือ "นายปลอด ชูเชื้อ" คุณตาของท่านซึ่งเคยบวชเรียนมาหลายปี และเคยเป็นพระธุดงค์ที่มีศีลวัตรน่าเลื่อมใสศรัทธารูปหนึ่ง มีประสบการณ์ทางธรรมมามาก ทั้งยังศึกษาวิชาคาถาอาคม แต่ไม่มีวาสนาอยู่ครองเพศบรรพชิต ต้องลาสิกขาบทมาครองเพศฆราวาส แต่จิตใจยังยึดมั่นในการปฏิบัติธรรม ไหว้พระสวดมนต์เช้าเย็น และนั่งสมาธิทำวิปัสสนาเป็นประจำ

เมื่อเห็นว่าหลานชายมีใจโน้มน้าวมาทางธรรม

จึงให้คำแนะนำในการปฏิบัติ ตลอดจนถ่ายทอดวิชาคาถาอาคมให้ แต่ติดอุปสรรคที่หลานชายต้องเรียนหนังสือและช่วยงานบ้าน ขณะที่มารดาก็ต้องวุ่นวายกับการดำรงชีพ ก็จะไม่เข้าใจและดุว่าขี้เกียจหลบงาน แต่ท่านก็สามารถฝึกฝนจาก​คุณตาได้พอสมควร ทั้งการท่องบทสวดมนต์ไหว้พระ ท่องพระคาถาเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน ได้เกือบหมด และถูกต้องตามอักขระ น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับฝึกฝนมานานปี และสามารถนั่งสมาธิได้อย่างสงบนิ่ง ตลอดจนท่องคาถาต่าง ๆ และรู้วิธีลงเลขเสกยันต์ ได้อย่างรวดเร็วสร้างความประหลาดใจให้กับคุณตาอย่างมาก

ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ท่าน​เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ณ วัดบางโทง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ โดยมี พระสุตาวุธวิสิฐ อดีตเจ้าคณะจังหวัดกระบี่ เป็นพระอุปัชฌาย์

ระหว่างบรรพชา ท่านมีความรู้สึกว่าท่านพอใจที่จะหาความสงบโดยการนั่งสมาธิวิปัสนากรรมฐานมากกว่าการมานั่งท่องบทตำรา ดังนั้น ท่านจึงสืบหาจนทราบว่าที่วัดถ้ำเสือฯ จังหวัดกระบี่ มีพระวิปัสสนาจารย์ที่มีชื่อเสียงรูปหนึ่ง คือ พระอาจารย์จำเนียร สีลเสฎโฐ ซึ่งจะไปบรรยายธรรมที่วัดพรุพรี จ.สุราษฎร์ธานี ท่านจึงเดินทางไปเข้าฟังการบรรยายธรรมจากพระอาจารย์จำเนียร เป็นการพบกันในทางธรรม ยังไม่ได้พบเป็นการส่วนตัว ตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยนให้ท่านตัดสินใจแน่วแน่ที่จะมุ่งมั่นทางด้านวิปัสสนากรรมฐาน และทราบได้ในทันทีว่า ท่านผู้นี้แหละคือวิปัสสนาจารย์ที่แสวงหา จึงกลับไปลาญาติโยมครูบาอาจารย์ ที่วัดเดิม (วัดบางโทง) เพื่อไปขอศึกษากับพระอาจารย์จำเนียร ที่วัดถ้ำเสือฯ

หลังจากผ่านการศึกษาธรรมะและการวิปัสสนาได้พอสมควร เมื่อออกพรรษาจึงออกไปธุดงค์แสวงหาความวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพรกับพระภิกษุที่มาฝึกฝนด้วยกัน โดยธุดงค์ไปทางภาคเหนือมีโอกาสเข้ากราบนมัสการหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง

และอยู่ศึกษาธรรม ดูอัธยาศัยและฟังคำแนะนำของท่านอยู่หลายเดือนแล้วธุดงค์กลับลงใต้มาอยู่ที่วัดถ้ำเสือ

เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ณ วัดแก้วโกรวาราม อ.เมือง จ.กระบี่ โดยมีพระสุตาวุธวิสิฎ อุปัชฌาย์ เป็นพระอัปัชฌาย์ พระครูวิสุทธิ์ พระภิกษุอาวุโสของวัดแก้วโกวราราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระภิกษุอีกรูปเป็นพระอนุศาสนาจารย์ จากนั้นเดินทางกลับไปอยู่วัดถ้ำเสืออีก ๑ ปี ก็กราบลาพระอาจารย์จำเนียรไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำแห่งหนึ่งในอำเภออ่าวลึก ต่อมาได้จัดตั้งเป็นวัดและสำนักวิปัสสนาที่มีชื่อเสียงชื่อว่า “วัดถ้ำเสือน้อย” เหตุที่ได้ชื่อนี้เพราะพระอาจารย์สมชัยและภิกษุที่ไปบุกเบิกวัดถ้ำแห่งนี้ ล้วนเป็นศิษย์ของพระอาจารย์จำเนียรนั่นเอง จากที่นี้ทำให้พระอาจารย์สมชัยเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ท่านได้ใช้วิชาความรู้ที้ร่ำเรียนมาช่วยเหลือญาติโยมชาวบ้านในท้องถิ่น แต่ก็มีเรื่องราว

ที่ทำให้ต้องลาสิกขาบทในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ซึ่งหลังครองเพศฆราวาสท่านก็ยังสนใจในด้านธรรมะก่นตัดสินใจอุปสมบทอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ณ วัดคลองท่อม ต.คลองท่อมใต้

อ.คลองท่อม จ.กระบี่ โดยมี พระครูอาทรสังวรกิจ (สวาส กนฺตสํวโร)” อดีตเจ้าอาวาสวัดคลองท่อม เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายาว่า “ปุรินทโก” แล้วกลับไปปฏิบัติธรรมที่วัดถ้ำเสือฯ ก่อนออกธุคงค์ไปภาคอีสานเข้ากราบและฟังข้อธรรมะจากหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

การศึกษา​ พ.ศ.๒๕๑๓ จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนบ้านบางโทง​​​ พ.ศ.๒๕๑๗ สอบได้นักธรรมชั้นตรี จากสำนักศาสนาศึกษาวัดบางโทง พ.ศ.๒๕๕๓ ได้รับการถวายปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๕๖ ได้รับการถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต

ตำแหน่งและสมณศักดิ์ พ.ศ. ๒๕๒๙ เป็นรักษาการเจ้าอาวาส วัดราษฎร์อุปถัมภ์ (วัดบางเหรียง) ต.บางเหรียง อ.ทับปุด จ.พังงา เป็นประธานดำเนินการก่อสร้าง พระมหาธาตุเจดีย์พุทธธรรมบันลือ ประดิษฐานบนยอดเขาล้าน พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดราษฎร์อุปถัมภ์ ต่อมาในปีเดียวกันวันที่ ๑๔ ธันวาคม ได้รับการแต่งตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระฐานานุกรม ในพระราชปฏิภาณมุณี เจ้าคณะจังหวัดพังงา วัดชนาธิการาม ที่ “พระครูปลัด”

วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ ย้ายมาอยู่วัดมหาธาตุวชิรมงคล ต.นาเหนือ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ โดยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส

วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ ในราชทินนามที่ “พระครูไพศาลพัฒนานุยุต” วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้รับการแต่งตั้งเป็น “เจ้าคณะอำเภอปลายพระ" อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ วันที่ ๓๐ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้รับการแต่งตั้งเป็น “พระอุปัชฌาย์”

วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ ในราชทินนามที่ “พระวิสิฐพัฒนวิธาน” พ.ศ.๒๕๕๙​ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ “พระราชวชิรากร” พ.ศ. ๒๕๖๐​ ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๗ พ.ศ. ๒๕๖๔​ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองเจ้าคณะภาค ๑๗ ​และได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระราชคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ ​​​"พระเทพวชิรากร"

สำหรับวัดมหาธาตุวชิรมงคล ตั้งอยู่ที่บ้านบางโทง ต.นาเหนือ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2483 ในที่ดินบริจาคของนายเปล้า ทองศิริ นายมั่น เพ่งกิจ และนายน่วม ดำพันธ์ บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ บริเวณรอบวัดเป็นสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของกระบี่

เดิมชาวบ้านเรียกขานว่า “วัดบางโทง” ตามชื่อหมู่บ้านที่ตั้ง วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2496 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 30 เมตร ยาว 70 เมตร ได้ทำพิธีผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2519 มีเจ้าอาวาสปกครองติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน 4 รูป

พระราชวชิรากร "พระอาจารย์ชัย"เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ท่านถือเป็นบุคคลสำคัญในการพัฒนาวัดบางโทงแห่งนี้ โดยในช่วงปี 2545 หลังจากที่ท่านมาพำนักอยู่ที่วัดแห่งนี้ได้พิจารณาเห็นว่า วัดมีสภาพชำรุดทรุดโทรมอย่างมาก จึงได้รื้อถอนอาคารเสนาสนะที่มีอยู่เดิมออกเกือบทั้งหมด ยกเว้นอุโบสถ (หลังเดิม) แล้วก่อสร้างอาคารเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้นใหม่

นอกจากนี้ ท่านยังเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาได้ก่อสร้างอาคารเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี และพัฒนายกระดับให้วัดบางโทงเป็นสถานที่ศึกษาเรียนรู้ธรรม- บาลีของบรรดาพระภิกษุ-สามเณรที่มีความสนใจ

ในปี พ.ศ. 2545 เมื่อประชาชนและหน่วยงานจากหลากหลายภาคส่วนในจังหวัดกระบี่ ได้ร่วมกันจัดทำ “โครงการสร้างพุทธสถานและพระมหาธาตุเจดีย์ เฉลิมพระเกียรติ ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ” ขึ้นที่วัดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร

ในวันที่ 11 ม.ค. 2548 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ซึ่งขณะนั้นดำรงพระราชอิสริยยศ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จแทนพระองค์ทรงวางศิลาฤกษ์พระมหาธาตุเจดีย์ และทรงเททองหล่อพระพุทธปฏิมาประจำพระชนวารในโครงการดังกล่าว

หลังจากนั้นในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามวัดบางโทงให้ใหม่ เป็น “วัดมหาธาตุวชิรมงคล” พร้อมทั้งให้อัญเชิญพระนามาภิไธยย่อ “มวก.” ขึ้นประดิษฐานที่หน้าบันอุโบสถ ขณะที่พระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารฯ ให้ใช้พระนามว่า “พระพุทธทักษิณชัยมงคล” พระนามาภิไธยย่อ “มวก.”

ปัจจุบันวัดมหาธาตุวชิรมงคล ถือเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญและแลนด์มาร์กใหม่ของจังหวัดกระบี่ ดึงดูดให้พุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศแวะเวียนเดินทางมาชื่นชมกันอย่างไม่ขาดสาย

โดยไฮไลต์สำคัญของวัดแห่งนี้ก็คือ “พระมหาธาตุเจดีย์” ที่ได้รับอิทธิพลมาจาก มหาเจดีย์พุทธคยา สถานที่ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ในเมืองคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย



 
 
 

Comments


  • generic-social-link
  • generic-social-link
  • youtube

©2020 by kampeenews. Proudly created with Wix.com

เมื่อเอ่ยถึงจังหวัดสระบุรี คนทั่วไปจะต้องคิดถึง “รอยพระพุทธบาท” ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่ง เดียวในประเทศไทย ที่มีรอยพระพุทธบาทของแท้ประทับรอยอยู่ ในแต่ละปีจะมีทั้งพระภิกษุสามเณรและบุคคลทั่วไป ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศตั้งใจเดินทางมากราบนมัสการ เพราะถือว่าหากได้เดินทางไปกราบรอยพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรีแล้ว เป็นมงคลสูงสุดในชีวิตก็ว่าได้

 ไม่ใช่ว่าสระบุรีจะมีแต่สถานที่เท่านั้นที่ศักดิ์สิทธิ์ พระเกจิอาจารย์ของสระบุรีที่มากไปด้วยประสบการณ์ ตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันโด่งดังไปทั่วภูมิภาคและในท้องถิ่นมีอยู่เป็นจำนวนมาก อาทิ หลวงพ่อยอด วัดหนองปลาหมอ, พระอุปัชฌาย์กาน วัดโคกโพธิ์, อุปัชฌาย์ตัน วัดอู่ตะเภา, หลวงพ่อลา วัดแก่งคอย, หลวงพ่อย้อย วัดอัมพวัน และหลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง เป็นต้น

 และยังมีพระสงฆ์ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ข้อวัตรงดงามยิ่ง โดยเฉพาะวางอุเบกขาได้อย่างยอดเยี่ยม เปี่ยมด้วยความเมตตาบารมีแก่คนทุกชั้นทุกกระดับอย่างเสมอภาค พระสงฆ์รูปนั้นคือ “พระครูอรรถธรรมาทร” หรือ ที่เรียกกันติดปากว่า “หลวงพ่อเฮ็น แห่งวัดดอนทอง” ตำบลดงตะงาว อำเภอดอนพุด จังหวัดสระบุรี ปัจจุบันวัตถุมงคลของท่านถึงจะสร้างไว้ไม่เก่ามาก แต่ความนิยมในหมู่นักสะสมก็ไม่ธรรมดา

 โดยเฉพาะ “เหรียญรุ่นแรก” และ “พระกริ่งดอนทอง” สนนราคาเล่นหาสูงขึ้นเรื่อย

 ตามประวัติ หลวงพ่อเฮ็นท่านถือกำเนิดเมื่อวันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 2454 ตรงกับวันแรม 4 ค่ำ เดือน 1 ปีกุน ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โยมบิดาชื่อนายอยู่ โยมมารดาชื่อนางเขียว ศิริวงษ์ ซึ่งมีอาชีพเกษตรกร

 เมื่ออายุได้ 8 ขวบได้ ไปศึกษาอักขระสมัยทั้งไทยและขอมกับพระอาจารย์แก้ว วัดพรรณนารายณ์ ซึ่งอยู่ไกล้บ้านของท่าน พออ่านออกเขียนได้ก็ลาจากวัดมาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพ ท่านเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรง ใจคอกล้าหาญอดทนกว้างขวางมีพรรคพวกเพื่อนฝูงมาก ยุคนั้นบ้านกะวาปาลาย แขวงเมืองกำพงธม เป็นแดนนักเลงหัวไม้ มีทั้งชนไก่กัดปลา ข้องอ้อย ฯลฯ เวลามีงานวัดมักจะนัดตีกันเป็นประจำ

 สำหรับนายเฮ็นพรรคพวกเพื่อนฝูงย่องให้เป็นลูกพี่ ด้วยเหตุนี้ทำให้บิดามารดาวิตกเกรงว่าหนทางข้างหน้าอาจจะเสียคน เพราะคบเพื่อนไม่เลือกว่าคนดีคนพาล ต่อมาเมื่อวันพุธที่ 9 ธันวาคม 2474 ปีมะแม เมื่อนายเฮ็นมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ บิดามารดาจึงทำการอุปสมบทให้ ณ พัทสีมาวัดพรรณนารายณ์ ตำบลกะวา อำเภอปาลาย แขวงเมืองกัมพงธม ประเทศกัมพูชา (เขมร) โดยมี พระอุปัชฌาย์แก้ว วัดพรรณนารายณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์มั่น เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอุปัชฌาย์ให้ฉายว่า “สิริวังโส”

 เมื่อบวชแล้วก็จำพรรษาอยู่ที่วัดพรรณนารายณ์ ทำอุปัชฌาย์วัตรอาจาริยวัตรตามธรรมเนียมพระนวกะผู้บวชใหม่ และศึกษาพระธรรมวินัยท่องบ่นสวดมนต์จนจบทุกยุคทุกคัมภีร์ มีอุตสาหะจดจำได้แม่นยำและเกิดเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง

 สิ่งสำคัญได้ศึกษาเล่าเรียนในด้านคาถาอาคมจนมีความชำนาญ เจนจัดด้านวิชาแขนงต่างๆ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อแก้ว วัดพรรณนารายณ์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์แล้ว ท่านจึงได้ตัดสินใจออกธุดงค์รอนแรมมาตามป่าและภูเขาเพื่อแสวงหาที่สงบวิเวกบำเพ็ญสมณธรรม และปฏิบัติสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน

 ต่อมาได้อยู่จำพรรษาที่ “วัดดอนทอง” เมื่อปี 2479 ระหว่างจำพรรษาอยู่ที่นั่นได้เป็นที่ศรัทธาของชาวบ้านดอนทองมาก ด้วยมีศีลาจารวัตรงดงาม ครั้นเมื่อ หลวงพ่อแพ เจ้าอาวาสวัดดอนทอง มรณภาพลง ชาวบ้านได้นิมนต์หลวงพ่อเฮ็น ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อมา ปี 2535 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ “พระครูอรรถธรรมทร”

 หลวงพ่อเฮ็น ได้สร้างมงคลวัตถุไว้หลายรุ่นหลายแบบ อาทิ ผ้ายันต์อุษาสวรรค์ มีพุทธคุณโดดเด่นด้านเมตตามหานิยม มีความเชื่อว่า เมื่อต้องการใช้ก่อนออกจากบ้าน ให้นำผ้ายันต์อุษาสวรรค์ เช็ดหน้าจากซ้ายไปขวาสามครั้ง ว่ากันว่าจะมีเสน่ห์ไปตลอดทั้งวัน

 หลวงพ่อเฮ็นมรณภาพเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 สิริอายุได้ 89 ปี

 สำหรับวัตถุมงคล “ผ้ายันต์อุษาสวรรค์” นั้น เซียนพระเครื่องต่างเสาะแสวงหาสะสมกันเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เหรียญรุ่นแรก “เหรียญเสมาหลวงพ่อเฮ็นรุ่นแรก ปี 2529” ยังที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง คณะศิษย์จัดสร้างถวายมุทิตาสักการะในโอกาสครบรอบอายุ 75 ปี ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปใบเสมา มีหูห่วง จัดสร้างเป็นเหรียญเนื้อทองแดง

 ด้านหน้าเหรียญตรงกลาง เป็นรูปเหมือนหลวงพ่อเฮ็นนั่งขัดสมาธิเต็มองค์บนอาสนะ 3 ชั้น ด้านใต้ฐานอาสนะเขียนคำว่า “หลวงพ่อเฮ็น สุวรรณศรัทธา” ด้านในขอบโค้งใบเสมาด้านซ้ายล่าง เขียนว่า “พ.ศ.๒๕๒๙” ส่วนด้านขวาของเหรียญเขียนว่า “อายุ ๗๕ ปี” ด้านหลังเหรียญ ตรงกลาง เป็นยันต์ ด้านบนยันต์เขียนว่า “วัดดอนทอง” ขอบโค้งด้านล่าง เขียนคำว่า “ต.ดงตะงาว กิ่ง อ.ดอนพุด จ.สระบุรี” ถือเป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมในวงการ มีพุทธคุณโดดเด่นรอบด้านทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย

 ส่วนวัตถุมงคลที่กำลังมาแรงอีกพิมพ์ "พระกริ่งดอนทอง" เป็นรุ่นแรกที่สร้างในวาระหลวงพ่อเฮ็น ครบ 7 รอบ 84 ปี นับเป็นวัตถุมงคลรุ่นพิเศษ ที่ท่านได้มอบหมายให้สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันสมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งด้านรูปลักษณ์พิมพ์ทรงที่ได้เน้นความสวยงามคมชัด รวมทั้งในด้านเนื้อหาซึ่งได้มอบชนวนมวลสารศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งแผ่นจารตะกรุดสามพี่น้องของหลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง ชนวนกริ่งญาณวิทยาคมพร้อมตะกรุดสาม กษัตริย์ของหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา และแผ่นจารตะกรุดสามกษัตริย์ของหลวงพ่อเฮ็น

 ทั้งหมดได้นำมาหลอมผสมผสานเพื่อให้วัตถุมงคลรุ่นนี้ ทรงคุณวิเศษยิ่งควรค่าแก่การบูชา ได้ผ่านพิธีมหาพุทธาภิเษก เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2537 จุดประสงค์ในการสร้างเพื่อสมทบทุนการศึกษาเด็กนักเรียนที่ขาดทุนทรัพย์ สมทบทุนอาหารกลางวัน และจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ วัตถุมงคลรุ่นนี้ผู้ที่มีไว้ครอบครองเคยมีประสบการณ์กันมาแล้วในหลายๆด้าน เด่นทางเมตตา มหานิยม ค้าขาย แคล้วคลาด โชคลาภ

 “พระกริ่งดอนทองรุ่นแรก” ที่จัดสร้างขึ้นเนื้อทองคำ สร้างจำนวน 84 องค์ เนื้อเงินจำนวน 500 องค์ เนื้อนวะจำนวน 500 องค์ เนื้อทองเหลืองจำนวน 200 องค์ ด้านหลังตอกโค้ด “นะ พุท ธา” ชัดเจน เป็นวัตถุมงคลที่มาแรง พิมพ์สวยมีอนาคต ของปลอมแปลงยังไม่มี สนนราคาวิ่งแบบไม่คงที่ ขึ้นติดอยู่ในระดับหลักพันกลางๆ  

 วัตถุมงคลของหลวงพ่อเฮ็นจึงเปี่ยมล้นด้านพุทธคุณ ทั้งคลาดแคล้วคงกระพันชาตรี, เมตตาค้าขายมหาเสน่ห์ และแก้อาถรรพณ์มนต์ดำขับไล่เสนียดจัญไรทั้งปวง เก็บสะสมไว้ไม่มีคำว่าผิดหวัง ในไม่ช้าไม่นานจะกลายเป็นวัตถุมงคลที่มากด้วยราคาและหายากยิ่ง

 นักสะสมมือใหม่รีบหาไว้บูชาด่วน!!!

bottom of page