อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 12
ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์คัมภีร์นิวส์ รายงานว่า แวดวงคณะสงฆ์สูญเสียพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ไปอีกองค์...พระธรรมสิทธิเวที (ถมยา อภิจาโร) อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 12 อดีตเจ้าอาวาสวัดสังเวชวิศยารามวรวิหาร เขตพระนคร ละสังขารแล้วด้วยอาการติดเชื้อในกระแสโลหิต เมื่อเวลา 01.46 น. วันที่ 18 มิ ย. 2564 ณ โรงพยาบาลธนบุรี 1 กรุงเทพฯ สิริอายุ 90 ปี พรรษา 70
ท่านเกิดเมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2473 อุปสมบท เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2493 ปีพ.ศ.2534 เป็นเจ้าอาวาสวัดสังเวชวิศยารามวรวิหาร ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 12 กรรมการและเลขานุการ ศูนย์ควบคุมการไปต่างประเทศสำหรับพระภิกษุ
พ.ศ. 2544ได้รับถวายปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยพ.ศ. 2553ได้รับถวายปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
สมณศักดิ์ พ.ศ. 2510 เป็น พระครูธรรมธร พ.ศ.2515 เป็น พระครูปลัดสุวัฒนสุตคุณ (พระครูปลัดของพระราชาคณะเจ้าคณะรอง) พ.ศ. 2516 เป็น พระครูปลัดสัมพิพัฒนสุตาจารย์ (พระครูปลัดของสมเด็จพระราชาคณะ)
5 ธันวาคม พ.ศ. 2517 เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญที่ "พระโสภณรัตนาภรณ์" 5 ธันวาคม พ.ศ. 2537 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชรัตนาภรณ์" 5 ธันวาคม พ.ศ.2545 เป็น พระราชาคณะชั้นเทพที่ "พระเทพคุณาภรณ์" 5 ธันวาคม พ.ศ.2551 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ "พระธรรมสิทธิเวที"
ทั้งนี้ พระธรรมสิทธิเวที"เป็นพระมหาเถระผู้ประกอบด้วยเมตตา มีอัธยาศัยโอบอ้อมอารี มีศีลาจารวัตรงดงาม มีความเสียสละ และอดทน อุทิศตนเพื่อกิจการงานพระศาสนา คณะสงฆ์ด้วยความเรียบร้อย ดีงามเสมอมา เป็นที่เคารพรักนับถือศรัทธาของพุทธบริษัททั้งหลายทั่วไป
กบ่าวสำหรับ วัดสังเวชวิศยาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เดิมชื่อ"วัดสามจีนเหนือ" และ"วัดบางลำพู" เป็นพระอารามที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นวัดในพระบรมราชูปถัมภ์มาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 กาลล่วงมาถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์ด้านภาษา มีความเลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาเป็นที่ยิ่ง ได้โปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อเสียใหม่ว่า "วัดสังเวชวิศยาราม
นอกจากเป็นวัดประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจแล้ว พุทธศาสนิกชนทั่วไป ทราบกันเป็นอย่างดีว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ซึ่งเป็นพระเกจิเถราจารย์ผู้ทรงคุณด้านวิชาคาถาอาคม เมตตามหานิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุมงคล "พระสมเด็จ" ได้มีความผูกพันกับวัดสังเวชวิศยาราม (ขณะนั้นเรียกว่าวัดบางลำพู) มาตั้งแต่เด็ก โดยประวัติของสมเด็จโต ได้รับการบันทึกว่า
"...วันพฤหัสบดี เดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก ตรงกับวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331 นางงุดได้คลอดบุตรชายให้ชื่อว่า "โต" มีลักษณะแตกต่างจากเด็กอื่นๆ ทำให้ญาติมิตรทักทายกันไปต่างๆนานา จนนางไม่สบายใจ วันหนึ่งจึงนำทารกน้อยไปฝากตัวต่อพระอาจารย์แก้ว วัดบางลำพู (วัดสังเวชวิศยาราม ปัจจุบัน) ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีผู้คนนับถือมาก
พระอาจารย์แก้วตรวจพิจารณาดูก็รู้ว่า เด็กคนนี้มีปัญญาสามารถทั้งเฉลียวฉลาดในการร่ำเรียน จะเป็นบุคคลเปรื่องปราชญ์อาจหาญ เชี่ยวชาญวิทยาคมในอนาคต....เมื่ออายุครบ 12 ปี บริบูรณ์ ตรงกับปีวอก พ.ศ. 2342 เด็กชายโตได้บรรพชาเป็นสามาเณรโดยมีพระบวรวิริยเถร (อยู่) เจ้าอาวาสวัดบางลำพู (วัดสังเวชวิศยาราม ปัจจุบัน) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านเป็นสามเณรอยู่ที่วัดสังเวชวิศยาราม ก่อนที่จะย้ายไปอยู่วัดระฆังโฆสิตาราม เขตบางกอกน้อย กทม.
Comments