“พระอาจารย์ประสิทธิ์”เกจิดัง
ผนึกพลังปลุกเสกเหรียญนั่งพาน
รุ่นรวยชนะมาร/ทำลายบล็อกทันที
ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์คัมภีร์นิวส์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา ได้มีพิธีพุทธาเทวาภิเษก วัตถุมงคล เหรียญนั่งพานหลวงปู่ที รุ่นชนะมาร ณ มณฑลพิธีสำนักสงฆ์กระต่ายด่อน จ.ศรีสะเกษ โดยมี หลวงปู่ที โชติปัญโญ จุดเทียนชัย และนั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสก พร้อมกับ พระอาจารย์ประสิทธิ์ อริโย วัดซับกองทอง อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ พระคณาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญการลงยันต์เจิมรถ เพื่อความสิริมงคล ท่านเขียนอักขระลวดลายของยันต์สวยงามอย่างยิ่ง
กำหนดการของพิธีกรรมต่างๆจัดขึ้นตั้งแต่เวลา 07.00 น.ตักบาตรภัตตาหารเช้า เวลา 09.00 น.ขอพรสู่ขวัญผูกข้อต่อแขน เวลา 10.00 น.สรงน้ำหลวงปู่ที ตามประเพณีโบราณในเทศกาลปีใหม่ไทย และเปลี่ยนผ้าไตรจีวร จากนั้นลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นผู้ชายก็นอนลงทำเป็นสะพานมนุษย์ให้หลวงปู่ทีได้เดิน เพื่อเป็นสิริมงคล เวลา 13.09 น.พิธีพุทธาเทวาภิเษก เหรียญนั่งพานหลวงปู่ที รุ่นรวยชนะมาร หลังเสร็จพิธีมีการทำลายบล็อกปั้มเหรียญทันที เพื่อความสบายใจของผู้สะสมที่จะไม่มีของสร้างเสริมออกมาอีก
กล่าวสำหรับ ประวัติ “หลวงปู่ที โชติปัญโญ” ที่พักสงฆ์บ้านกระต่ายด่อน ต.สมอ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ พระเกจิคณาจารย์แห่งอีสานใต้อีกรูปที่มีวัตรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเสมอต้นเสมอปลาย มีเมตตาธรรมสูง จิตใจที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา
อีกทั้งยังเป็นพระเกจิที่มีวิทยาคมเข้มขลัง สืบสายธรรมจากหลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง และพระเกจิอาจารย์สายเขมร รวมทั้งจากบิดาของท่านซึ่งเป็นหมอธรรม
ปัจจุบันท่านอายุ 84 ปี มีนามเดิมว่า "ที" เกิดในสกุล"มาลุน" เมื่อปี พ.ศ.2480 ที่บ้านขยอม อ.อุทุม พรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่-ทำนา
วัยเยาว์มีใจใฝ่ในธรรมมาตั้งแต่เล็ก แต่ด้วยทางบ้านมีฐานะยากจน เมื่อจบชั้นประถมศึกษาภาคบังคับ จึงไม่ได้เรียนต่อและหันมาช่วยครอบครัวประกอบอาชีพทำไรทำนา
โยมพ่อของท่านเป็นอาจารย์ไหญ่ในเมืองอุบล เป็นหมอยาสมุนไพรและหมอธรรมชื่อ "พ่อพุฒิ" ในสมัยนั้นมีลูกศิษย์ทั้งพระและฆราวาส ในแถบภาคอีสานมาขอเรียนวิชาจำนวนมาก
จึงได้รับสืบทอดวิชาอาคม ตำราว่านยาและมนต์พิธีมาจนหมดสิ้น ย่างเข้าสู่วัยรุ่น ออกติดตามบิดาที่ออกไปรักษาคนไข้ในแถบ จ.สุรินทร์, จ.ศรีสะเกษ และจ.อุบลราชธานี
ด้วยมีจิตใจโน้มเอียงเข้าหาพระธรรม จึงขอให้นำไปบรรพชาที่วัดในหมู่บ้าน ก่อนเดินทางไปศึกษาที่สำนักเรียนวัดหลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอร์ จ.ศรีสะเกษ มุมานะศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย-บาลี
ช่วงเวลานั้น หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ธุดงค์ผ่านมาและคณะของท่านกำลังจะเดินทางไปยัง จ.เชียงใหม่ ท่านจึงขอติดตามไปด้วย ผ่านป่าเขาสมัยนั้น ได้พบเห็นผ้าเหลืองและโครงกระดูกจำนวนมาก จึงต้องตั้งมั่นเอาใจศรัทธาเป็นที่ตั้ง หากเดินผิดแม้แต่นิดเดียว ก็อาจพลาดพลั้งได้
เมื่อไปถึงจ.เชียงใหม่ ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งนานหลายปี จนอายุครบบวชจึงเข้าพิธีอุปสมบท โดยได้รับความเมตตาจากหลวงปู่แหวน สุจิณโณ อบรมวิปัสสนากัมมัฏฐานและคำสอนต่างๆจนมีความชำนาญ
ขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้ วัตรปฏิบัติที่ท่านทำอย่างต่อเนื่องคือ หลังออกพรรษาจะออกธุดงค์ไปตามป่าเขาตามแถบชายแดนประเทศพม่า ครั้งหนึ่งได้พบกับพระธุดงค์ชาวจีน จึงแลกเปลี่ยนความรู้ทางภาษาและวิชาต่างๆ
หลังจำพรรษาที่วัดดอยแม่ปั๋งนานถึง 7 ปี จึงเดินทางกลับมาจำพรรษาอยู่ภูมิลำเนาเดิม ที่จ.ศรีสะเกษ โดยช่วงเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาแถบชายแดนประเทศกัมพูชา มีโอกาสศึกษา วิทยาคมเพิ่มเติมจากพระเกจิอาจารย์ชาวกัมพูชาหลายรูป
หลังจากบวชได้ประมาณ 10 พรรษา มีความจำเป็นต้องลาสิกขาออกไปประกอบอาชีพทำมาหากินช่วยเหลือครอบครัว อีกทั้งโยมพ่อต้องการให้ท่านมาสืบทอดวิชาสมุนไพรและเวทย์อาคมต่างๆ ตัวท่านไม่ชอบ แต่ก็ต้องยอม เพราะบิดาท่านต้องการให้มีคนรับช่วงต่อ
หลังเริ่มต้นชีวิตฆราวาส ท่านก็เป็นหมอธรรม ใช้วิชาสมุนไพรและวิทยาคม ที่ได้รับการถ่าย ทอดจากบิดา รวมทั้งที่ร่ำเรียนจากพระอาจารย์สายเขมร รักษาและช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก พร้อมกับเรียนตำราว่านยา คาถาอาคมต่างๆ และฝึกจิตไปด้วย
จนกระทั่งโยมพ่อเสียชีวิต หมดภาระทางครอบครัว จึงตัดสินใจหันหน้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง เข้าพิธีอุปสมบทที่อุโบสถวัดโพธิ์ศรีโคกจาน ต.โคกจาน อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ โดยมีพระครูปัญญาวิริยกิจ วัดทุ่งไชย เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วไปอยู่จำพรรษาที่วัดป่าหนองหวาย ต.ทุ่งไชย อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ
เนื่องจากคนในพื้นที่รู้จักว่าเป็นหมอธรรม จึงมีผู้เลื่อมใสศรัทธาจำนวนมาก ในแต่ละวันมีพุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศ เดินทางมากราบนมัสการ รับฟังธรรมและประพรมน้ำพระพุทธมนต์จากท่านอย่างล้นหลาม ทำให้เวลาที่จะปฏิบัติศาสนกิจมีน้อย
ท่านเล็งเห็นว่า หากเป็นแบบนี้คงไม่ได้บำเพ็ญสมาธิ และปฏิบัติธรรมแน่นอน มิหนำซ้ำยังเป็นการรบกวนทำให้พระรูปอื่นๆเกิดความวุ่นวายอีกด้วย ท่านจึงได้เดินธุดงค์ ไปยังที่ต่างๆ เที่ยวพำนักอยู่ตามทุ่งนาเรื่อยไป เพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย
สุดท้ายได้มาพำนักอยู่ที่กระท่อมกลางนานอกหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เมื่อผู้เลื่อมใสทราบข่าว ก็มาช่วยพัฒนาปรับปรุงที่อยู่ให้ท่านเพื่อความเหมาะสมในการปฏิบัติธรรม ต่อมาได้พัฒนากลายมาเป็น"ที่พักสงฆ์บ้านกระต่ายด่อน" ในปัจจุบัน
หลักธรรมคำสอนที่พร่ำสอนญาติโยมมาโดยตลอด เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต คือ การดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท และให้ยึดศีล 5 ไว้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต เพียงเท่านี้จะทำให้ชีวิตพานพบแต่ความสุขความเจริญ
หลวงปู่ทีท่านเปี่ยมด้วยเมตตาธรรมอย่างยิ่ง ชาวบ้านไปขอให้ท่านช่วยเหลือไม่ขาดสาย ท่านก็สงเคราะห์ให้ทุกคน โดยไม่แบ่งแยก
ใครไปกราบ ท่านก็มอบของดีที่ท่านทำไว้แจกให้ติดตัวอยู่เสมอ เพื่อให้ปกป้องคุ้มครอง พร้อมทั้งให้คำสอนและเตือนสติทุกครั้ง
"หลวงปู่ที" พระดีเกจิดังแห่งปรางค์กู่ อีสานใต้ที่กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ
Comentarios