"หลวงพ่อเค"เกจิดังวัดน้ำโจนเหนือ จ.พิจิตร
อดีตนายแบบเวทีดัง/ละทางโลกสู่ทางธรรม
ผู้สืบทอดวิชาอาคมสาย"วัดเขาอิติสุคโต"
ทีมข่าว"คัมภีร์นิวส์"ร่วมนำเสนอประวัติเกียรติคุณ "พระอธิการเพิ่มศักดิ์ พลปุณโณ" เจ้าอาวาสวัดน้ำโจนเหนือ ต.หัวดง อ.เมือง จ.พิจิตร หรือ"หลวงพ่อครูบาเค" หรือ"หลวงพ่อเค" พระดีเกจิดังแห่งเมืองชาละวันอีกหนึ่งรูปในยุคปัจจุบัน
ท่านมีนามเดิมว่า "เพิ่มศักดิ์ เกิดผล" เป็นชาวจังหวัดนครสวรรค์ เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2510 (ปีมะแม) บิดาชื่อ"นายบุญมี" มารดาชื่อ"นางบัวหล่วน" ท่านเป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 6 คนคือ 1.นางลัดดา เกิดผล 2.นายสุเทพ เกิดผล 3.นางลาวัลย์ เกิดผล (เสียชีวิต) 4.นายเพิ่มศักดิ์ เกิดผล
5.นายชูศักดิ์ เกิดผล (เสียชีวิต) 6.ด.ช.เล็ก (เกิดได้ 28 วัน เสียชีวิต)
โยมบิดาเป็นทหารเสนารักษ์ ส่วนโยมมารดาเป็นแม่ค้าตลาดปากน้ำโพ นครสวรรค์โดยล่องเรือนำสินค้าพืชสวน ผลไม้จากปากน้ำโพ มาขายที่ตลาดท่าเตียน กรุงเทพฯ และขากลับได้นำอาหารทะเลแห้ง จำพวกกุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้ง ปลาทูเค็ม ฯลฯ จากตลาดเยาวราช ล่องเรือขึ้นมาขายที่ปากน้ำโพ
ท่านได้รับการศึกษาจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แล้วออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยมารดาค้าขาย เมื่ออายุ 17 ปี บิดาเสียชีวิต ท่านต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้กับมารดาทำอาชีพค้าขาย ต่อมาอายุ 23 ปีมีแมวมองมาติดต่อให้ไปประกวดนายแบบเวที MAN OF THE YEAR ในปี 2537 ได้รับตำแหน่งขวัญใจช่างภาพ จากนั้นจึงประกอบอาชีพเป็นนายแบบและนักแสดง แต่งงานมีครอบครัว มีบุตร 3 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 2 คน
จนกระทั่งปี 2554 มีความคิดอยากบวชถวายเป็นพระราชกุล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่9 จึงไปสมัครบวชที่วัดพิชยญาติการาม เขตคลองสาน กรุงเทพฯ โดยฝากตัวที่วัดก่อนบวชช่วยเหลืองานวัดและฝึกท่องคำขอบรรพชาอุปสมบท แต่เนื่องจาก ปี 2554 กรุงเทพฯเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ทำให้ไม่ได้บวช แต่มีญาติธรรมให้คำแนะนำไปถือศีลบวชพราหมณ์ 9 วันที่วัดเขาอิติสุคโต อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยวัดแห่งนี้มีอดีตอาจารย์ใหญ่คือ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริการ บ้านหมี่ ลพบุรี,หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด กทม. และหลวงปู่นคร อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอิติสุคโต
เมื่อถือศีลถึงวันที่ 9 จึงขออนุญาตพระครูบรรพตพัฒนา หรือ"หลวงพ่อปรีชา" อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอิติสุคโตในขณะนั้น (ซึ่งในปัจจุบันท่านลาสิกขาเป็นฆราวาสแล้ว) และได้อุปสมบทตามความตั้งใจ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2554 เวลา 13.24 น. ณ วัดเขาอิติสุขคโต โดยมีพระครูวิจิตรพัฒนนุกูล เจ้าอาวาสวัดอู่ตะเภา จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสมุห์พงษ์พันธ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดวินัย อชิโต เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “พลปุณโณ” มีความหมายว่า "ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพลังเป็นบุญ"
จากนั้นได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเขาอิติสุคโต ซึ่งเป็นวัดใหญ่และกำลังพัฒนาทำให้ในช่วงเช้า หลังทำกิจของสงฆ์ประจำวันเสร็จ ท่านต้องไปช่วยทำงานก่อสร้างภายในวัด และตอนเย็นก็ทำกิจของสงฆ์ ในขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาอิติสุคโตนั้น เป็นเวลาพระครูบรรพตพัฒนา หรือ"หลวงพ่อปรีชา" ไม่ได้สอนกรรมฐานให้กับพระที่จำพรรษาแล้ว ท่านจึงเรียนและฝึกกรรมฐานกับพระครูสุนทรคีรีวงศ์ หรือ "หลวงพ่อนก" เจ้าอาวาสวัดเขาอิติสุขโตรูปปัจจุบัน ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นพี่ที่ได้เรียนกรรมฐานจากหลวงพ่อปรีชา แต่ท่านก็มีโอกาสได้ฟังคำชี้แนะกรรมฐานจาก หลวงพ่อปรีชาในช่วงเวลาที่ลงอุโบสถเช้าเย็น และได้นำคำชี้แนะมาฝึกปฎิบัติกรรมฐาน
ตลอดระยะเวลาที่จำพรรษาอยู่วัดเขาอิติสุคโต ท่านได้ปฏิบัติกรรมฐาน สวดมนต์อย่างเคร่งครัดไม่เคยขาด แม้ในยามอาพาธก็ตาม
ในขณะที่จำพรรษาอยู่วัดเขาอิติสุคโตก็ได้มีผู้นำชาวบ้านและชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง ของบ้านชะล่า ต.หัวดง อ.เมือง จ.พิจิตร ได้เข้ามากราบหลวงพ่อปรีชา ในใจท่านตอนนั้นคิดว่าบวชมา 2 ปีแล้วอยากลาสิกขา จึงอยากมาช่วยพระศิษย์พี่พัฒนาวัดก่อน และได้เดินทางติดตามศิษย์พี่มาที่วัดลำซะล่า แล้วเดินทางต่อไปยังวัดคุณพุ่ม อ.โพทะเล จ.พิจิตร
ในระหว่างอยู่ที่วัดคุณพุ่มได้ช่วยงานภายในวัดอยู่หนึ่งเดือน และคิดจะกลับไปที่วัดเขาอิติสุคโต เพื่อขอลาสิกขากับหลวงพ่อปรีชา แต่ยังไม่ทันได้กลับก็มีผู้ใหญ่บ้านและคณะชาวบ้านน้ำโจนเหนือไปกราบหลวงพ่อปรีชา เพื่อขอลูกศิษย์วัดเขาอิติสุคโตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดน้ำโจนเหนือ หลวงพ่อปรีชาทราบว่าท่านไปช่วยพระศิษย์พี่อยู่ที่วัดคุณพุ่ม จึงบอกให้ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านน้ำโจนเหนือไปรับท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดน้ำโจนเหนือ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2557
เมื่อมาถึงวัดน้ำโจนเหนือ ท่านได้มองดูรอบวัด มีพระสงฆ์ 1 รูปและสามเณร 1 รูป กุฎิพระก็ทรุดโทรมถ้าเดินขึ้นไปคงต้องตกลงมาแน่ แถมหญ้าขึ้นรกเต็มวัด มีหลอดไฟฟ้าอยู่ 2 ดวงที่หน้าวัดและหลังวัด ท่านได้แต่คิดในใจแล้วจะอยู่เป็นเจ้าอาวาสได้นานแค่ไหน ปัจจัยที่มีติดตัวมามีเพียง 1,350 บาทเท่านั้น ตกเย็นวันนั้นได้ทำวัตรเย็นกับพระและเณรในวโบสถ์จากนั้นกลับไปที่กุฎิหลังวัด
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังทำกิจสงฆ์เสร็จได้นำปัจจัยส่วนตัว 500 บาทไปซื้อน้ำมันเพื่อมาเติมเครื่องตัดหญ้าและตัดหญ้า ทำแบบนี้อยู่ 3 วัน จนปัจจัยที่มีติดตัวหมด จึงมานั่งที่สนามกลางแจ้งมองดูไปรอบบริเวณวัด แล้วคิดว่าคงมาพัฒนาวัดน้ำโจนเหนือได้แค่นี้และคิดจะกลับวัดเขาอิติสุคโต เมื่อนั่งคิดได้สักพักก็มีป้าคนหนึ่งเดินเข้ามากราบและบอกว่า "หลวงพ่อ...ฉันเห็นหลวงพ่อตัดหญ้ามา 3 วันแล้ว ฉันถวายปัจจัย 100 บาทกับหลวงพ่อเอาไว้ซื้อน้ำมันเติมเครื่องตัดหญ้า" หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีชาวบ้านเข้ามาร่วมบุญกับท่านเพิ่มมากขึ้น
ในปีแรกที่หลวงพ่อเคมาเป็นเจ้าอาวาสก็ได้พัฒนาวัดมาตลอด และในปี 2557 หลวงพ่อเคเกิดอาพาธตอนกลางคืน มีเลือดออกทางทวาร นอนจมกองเลือดอยู่ในกุฎิ ระหว่างนั้นท่านตั้งจิตอธิษฐานว่า "ถ้าข้าพเจ้ามีบุญที่จะมีชีวิตรอดจะพัฒนาวัดน้ำโจนเหนือให้เจริญ แต่ถ้าข้าพเจ้าหมดบุญ ก็ขอให้ข้าพเจ้าจากไปอย่างสงบ" แล้วก็กำหนดจิตกรรมฐาน จนรุ่งเช้ามีชาวบ้านมาเรียกที่หน้ากุฎิแล้วถามว่า "หลวงพ่อเค หลวงพ่ออยู่มั้ย สายแล้วฉันไม่เห็นหลวงพ่อออกไปบิณฑบาต ฉันถามพระในวัดก็ตอบว่า หลวงพ่อยังไม่ออกมากุฎิ" ท่านได้ยินจึงคลานออกมาเปิดประตูกุฎิ แล้วชาวบ้านจึงช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลไปรักษาตัว
หลังจากที่รักษาจนหายเป็นปกติ หลวงพ่อเคก็ทำตามที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่าจะพัฒนาวัดน้ำโจนเหนือให้เจริญ แต่ในระหว่างที่เป็นเจ้าอาวาสวัดน้ำโจนเหนือก็ได้ปฎิบัติกรรมฐานไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว และก่อนที่หลวงพ่อปรีชา อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอิติสุคโต จะลาสิกขา ได้มอบวิชาความรู้และคาถาอาคมต่าง ๆให้หลวงพ่อเค ซึ่งนับได้ว่าท่านเป็นผู้สืบทอดวิชาและคาถาอาคมต่างๆจากสายวัดเขาอิติสุคโต
ครั้งหนึ่งมี 2 ผัวเมียชาวบ้านน้ำโจนเหนือเข้ามากราบและนำน้ำดื่มมาถวาย แล้วบอกว่า "หลวงพ่อช่วยพวกฉันด้วย ผัวฉันป่วยไปรักษามาหลายที่ก็ไม่หาย" หลวงพ่อเคจึงถามว่า ไปหาหมอมาแล้วหรือยัง หมอให้ยามากินหรือเปล่า 2 ผัวเมียก็ได้ตอบว่า ไปหามาแล้วไปรักษาจะครบปีแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น 2ผัวพร้อมกับพูดว่า "หลวงพ่อช่วยเมตตาพวกฉัน 2 คนด้วย" ท่านจึงหยิบขวดน้ำมา 1 ขวด และเปิดฝาท่องคาถายื่นให้ 2 ผัวเมีย แล้วบอกว่า "เอาน้ำมนต์นี้ไปกิน เวลากินยาก็เอาน้ำมนต์นี้ดื่มนะ แล้วอาการป่วยจะดีขึ้น ก่อนกินให้ตั้งนะโม 3 จบ และนึกถึงบารมีหลวงพ่อเหนือพระประธานในโบสถ์ หลวงพ่อทองพระในกุฎิ และบารมีหลวงพ่อเค แล้วกลั้นใจดื่มน้ำมนต์"
หลวงพ่อเคพูดกับ 2 ผัวเมียว่า ทุกอย่างเป็นความเชื่อ ถ้าโยม 2 คนมีความเชื่อและศรัทธาน้ำนี้ก็เป็นน้ำมนต์ ถ้าโยม 2 คนไม่เชื่อและไม่ศรัทธา น้ำขวดนี้ก็คือน้ำเปล่า จากนั้น2 ผัวเมียก็กราบลากลับไป หลังจากผ่านไป 3 วัน 2 ผัวเมียมากราบใหม่ บอกว่าได้ดื่มน้ำมนต์ไปแล้วรู้สึกดีขึ้นและคิดว่าหายจากอาการป่วยแล้ว หลวงพ่อเคจึงบอกว่าให้ไปหาหมอตรวจอีกที และได้สอนธรรมะและแนะนำให้สวดมนต์นั่งสมาธิ
เมื่อชาวบ้านเห็นคนเป็นผัวหายเป็นปกติจึงสอบถามว่า ไปรักษาที่ไหนมา 2 ผัวเมียจึงเล่าว่าได้น้ำมนต์จากหลวงพ่อเคให้ไปดื่ม แล้วอาการดีขึ้น จึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านแห่มาขอน้ำมนต์จากท่าน แม้ท่านจะบอกว่าป่วยไข้ก็ต้องไปหาหมอ ตัวท่านไม่ใช่หมอ แต่ด้วยความศรัทธาของชาวบ้าน จึงทำให้มีชาวบ้านน้ำโจนเหนือ และหมู่บ้านใกล้เคียงต่างไปบอกเล่ากับญาติพี่น้องที่อยู่ต่างจังหวัด รวมไปถึงต่างประเทศ ว่าน้ำมนต์ของหลวงพ่อเค
ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้มีญาติโยมเข้ามาให้ท่านทำน้ำมนต์ โดยท่านให้โยมนำน้ำดื่มมากันเอง แล้วท่านจะเสกน้ำมนต์ให้กลับไป
เมื่อโยมกลับไปแล้ว พระลูกวัดก็ได้ถามกับหลวงพ่อเคว่า ทำไมเราไม่สั่งน้ำมาทีละเยอะ ๆ แล้วหลวงพ่อปลุกเสกทีเดียว เวลาโยมมาก็ให้มาบูชากับทางวัด หลวงพ่อต้องมาปลุกเสกน้ำมนต์ให้โยมทีละคน ทีละคณะ เห็นแล้วเหนื่อยแทน
หลวงพ่อเคตอบว่า โยมแต่ละคน แต่ละคณะที่มา ไม่ใช่แค่ท่องคาถาแล้วเป่าแล้วก็เสร็จ หลวงพ่อต้องใช้กรรมฐานและดูญาติโยมแต่ละคนว่า ต้องใช้คาถาบทไหน เมื่อญาติโยมดื่มน้ำมนต์แล้วดีขึ้น ถ้าเขานึกถึงหลวงพ่อก็จะกลับมาทำบุญมาช่วยหลวงพ่อสร้างวัด แต่ถ้าเขาหายดี แต่ไม่มีโอกาสกลับมาที่วัด หลวงพ่อก็เหมือนได้สร้างบุญโปรดญาติโยม ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเอามาคิดเป็นเงินเป็นทอง เราก็ไม่มีโอกาสสร้างบุญสร้างบารมี
ญาติโยมบางคนมีทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี ถ้าเขาสร้างกรรมไม่ดีมา ต่อให้หลวงพ่อ ปลุกเสกน้ำมนต์ให้ 100 แพ็กไปดื่มก็ช่วยไม่ได้
ต่อมาโยม 2 คนผัวเมียที่หายจากป่วยไข้ก็ได้เข้ามากราบหลวงพ่อเคและขอให้ช่วยอาบน้ำมนต์ให้ แต่หลวงพ่อเคก็พูดให้แง่คิดว่า โยมป่วยไข้ สภาพจิตใจก็แย่ ฉันเสกน้ำมนต์ให้โยมไปกินก็เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ โยมไม่ต้องอาบน้ำมนต์ แค่เอาน้ำมาเดี๋ยวฉันปลุกเสกให้ไปดื่ม แต่2ผัวเมียก็มากราบท่านทุกวันขอให้อาบน้ำมนต์ให้เป็นสิริมงคล
ท่านทนรบเร้าไม่ได้จึงอาบให้ เมื่อญาติโยมคนอื่นได้ข่าวจึงพากันมาอาบน้ำมนต์กับหลวงพ่อเคทั้งชาวบ้านน้ำโจนเหนือ ชาวจังหวัดพิจิตร ต่างจังหวัด และต่างประเทศ
เมื่อญาติโยมนำน้ำดื่นมาให้หลวงพ่อเคปลุกเสกน้ำมนต์ ท่านได้แนะนำการสวดมนต์และการนั่งสมาธิให้ทุกครั้ง ในระหว่างสนทนาธรรม บางครั้งหลวงพ่อเคก็พูดคุยเรื่องบ้านที่อยู่อาศัยและเรื่องคนในครอบครัว พอโยมได้ฟังต่างก็เอาไปเล่าลือกันอีกว่า หลวงพ่อเคดูดวงแม่น จนมีญาติโยมพากันมาเพื่อให้ท่านดูดวง แต่ท่านบอกโยมว่า "ฉันไม่ใช่พระหมอดู ถ้าโยมจะดูดวงไปที่อื่น ถ้าจะหาฉัน ฉันจะเทศน์สอนธรรมะให้"
ปัจจุบันหลวงพ่อเค ได้ชื่อว่าเป็น พระเกจิอาจารย์ทีมีชื่อเสียงรูปหนึ่งของจังหวัดพิจิตร งานพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลหลายรุ่นจะต้องนิมนต์หลวงพ่อเคไปนั่งอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลของวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
コメント