"หลวงพ่อซ่วน ปัญญาธโร"เจ้าตำรับ"ปลัดขิก"วัดท่าลาดใต้
- อ.อนุชา ทรงศิริ
- 27 พ.ค. 2564
- ยาว 1 นาที
เทพเจ้าไสยเวทย์แห่งพนมสารคาม
"พระอาจารย์ซ่วน หรือ"หลวงพ่อซ่วน ปัญญาธโร" อดีตเจ้าอาวาส วัดพระพุทธทักษิณดิตถมงคล หรือ"วัดท่าลาดใต้" ต.ท่าถ่าน อ.พนมสาร คาม จ.ฉะเชิงเทรา ลูกศิษย์ของหลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม ได้รับขนานนามว่าเป็น "เทพเจ้าไสยเวทย์แห่งเมืองพนมสารคาม"
ท่านเกิดเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2476 อุปสมบทเมื่อปีพ.ศ.2506 ณ วัดนามะตูม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี โเยมีพระครูพินิจสมาจารย์ (หลวงพ่อโด่) เจ้าอาวาสวัดนามะตูม เป็นพระอุปัชฌาย์
พระครูใบฏีกาทองคำ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอธิการป่าน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า "ปัญญาธโร" โดยท่านเคยรักษาการเจ้าอาวาสวัดนามะตูม ช่วงปีพ.ศ.2515-2517
ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังทางด้านเมตตามหานิยมและเป็นพระหมอดูที่มีชื่อเสียงมาก ซึ่งมักจะมีคนจากต่างถิ่นมาขอให้ท่านดูดวงให้ ขณะเดียวกัน ท่านก็จะให้สะเดาะเคราะห์ด้วยการสร้างพระและรูปเทพองค์ต่างๆ
ที่สำคัญ ท่านเป็นหนึ่งในเกจิอาจารย์ผู้สร้าง "ปลัดขิก" อันเข้มขลังมากด้วยประสบการณ์ ถือเป็นหนึ่งในเครื่องรางของขลังที่เลื่องชื่อในวงการพระเครื่อง
ปลัดขิกของท่านเป็นที่ฮือฮาก็เมื่อตอน "กบ ปภัสรา" อดีตมิสไทยแลนด์เวิลด์ เสียบปลัดขิกตัวจิ๋วไว้บนมวยผมตอนขึ้นเวทีประกวดจนได้รับตำแหน่ง โดยมีบทสัมภาษณ์ "ป้าชุลี" พี่เลี้ยงนางงามระดับตำนานเขียนไว้ว่า
ปีนั้นฮือฮามากด้วยฉายา “นางงามปลัดขิก” “ตอนประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ ป้าให้ปลัดขิกอาจารย์ซ่วน วัดท่าลาดใต้ อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นเครื่องรางของขลังให้"กบ"ติดตัวไว้ เพื่อสร้างความมั่นใจ เอาไว้ป้องกันตัว แล้วปีนั้น"กบ"สวยมาตลอดตั้งแต่รอบคัดเลือกแล้ว บนเวทีคืนตัดสินเขาโดดเด่นกว่าใคร เดินไป ยิ้มไป ไม่ประหม่าเลย คนปรบมือให้เขาเยอะมาก ทำให้ป้ามั่นใจว่ายังไงต้องติด 3 คนสุดท้ายแน่ๆ แล้วเขาก็ได้เป็นมิสไทยแลนด์เวิลด์”
ในด้านปลัดขิกที่ท่านจำหน่ายจ่ายแจกออกไปนั้น ขึ้นชื่อนักในเรื่องเมตตามหานิยม และโชคลาภ ว่ากันว่าของแท้ที่ท่านปลุกเสกลงอาคมไว้นั้น เมื่อปล่อยลงน้ำแล้วท่องคาถาที่ท่านให้ไว้ก็จะว่ายน้ำได้เอง! และท่านยังเป็นพระหมอดูสะเดาะเคราะห์ที่มีชื่อมากอีกท่านหนึ่ง ทำให้บุคคลสำคัญจากทั่วทุกวงการ ต่างแห่แหนไปหาท่าน
หลวงพ่อซ่วนท่านเป็นพระที่มุ่งปฏิบัติสมาธิภาวนา “กสิญสิบ” สื่อสารกับดวงวิญญาณ -ภูตผี จนทำให้ไม่มีเวลาปฏิบัติกิจของสงฆ์ ประกอบกับในปี พ.ศ.2522 มหาเถรสมาคม(มส.)ได้พิจารณาพฤติกรรมของท่าน และห้ามจำหน่ายจ่ายแจกปลัดขิก ท่านจึงได้ออกจากวัดท่าลาดใต้ไปพำนักที่ชลบุรีช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วกลับมาสร้างสำนักสงฆ์ ใน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา บนเนื้อที่เกือบ 2 ไร่ ในความดูแลของวัดท่าลาดใต้ ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้เป็นมรดกตกทอดจากบิดา
จากนั้นมาพระอาจารย์ซ่วนก็มุ่งมั่นปั้นรูปปั้นต่างๆขึ้น เช่น กุมารทอง, นางกวัก, ตุ๊กตาเด็ก รวมถึงตัวละครในวรรณคดี เช่น นางสิบสอง, พระรถเมรี วรรณคดีที่เชื่อมโยงกับจังหวัดฉะเชิงเทราในอดีต ทั้ง อ.พนัสนิคม, อ.พนม สารคาม และอ.สนามชัยเขต
รูปปั้นนับร้อยที่ท่านปั้นขึ้นมีการลงอักขระอาคมไว้ทั้งหมด บางตัวมีส่วนผสมของชิ้นส่วนคนตาย โดยเฉพาะผิวหนังของร่างคนตายที่สักยันต์ แต่เผาไม่ไหม้ถูกนำมาเป็นมวลสารในการปั้น และทุกตัวมีช่องสำหรับนำอัฐิคนตายบรรจุไว้ด้านใน หากญาติผู้เสียชีวิตแจ้งความประสงค์อยากให้วิญญาณสถิตอยู่ในรูปปั้นเหล่านี้ ท่านก็ประกอบพิธีบรรจุอัฐิให้
กระทั่งปี 2536 หลวงพ่อซ่วนมรณภาพลง ตั้งแต่นั้น สถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ก็ไร้พระสงฆ์เข้ามาจำวัด หลายครั้งที่ทางวัดให้พระสงฆ์เข้ามาฟื้นฟูสถานที่ แต่ไม่เคยมีพระรูปไหนอยู่ได้ อ้างพบเห็นสิ่งที่ชวนพิศวง ทั้งงูยักษ์เลื้อยผ่าน ได้ยินเสียงดังแปลกๆ คล้ายเสียงคนพูดคุยกัน จนสุดท้ายจำเป็นต้องปล่อยให้ทิ้งร้าง
ในปัจจุบัน มีสื่อประชาสัมพันธ์ อุทยานหุ่นปั้นสำนักสงฆ์ร้างอาจารย์ซ่วน จ.ฉะเชิงเทรา กันอย่างแพร่หลาย หลายคนที่ชอบเรื่องเร้นลับ ต่างก็อยากที่จะมาเที่ยวชม
หลวงพ่อซ่วนได้รับปริญญาด็อกเตอร์กิตติมศักดิ์สาขามนุษย์สัมพันธ์จาก University of America เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2533 วาระสุดท้ายท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2536 สิริอายุ 60 ปี แม้ชื่อเสียงและพฤติกรรมของท่านกำลังถูกลืมเลือน แต่"ปลัดขิก" ของท่านเป็นเครื่องรางของขลังที่ยังคงเป็นตำนานให้คนกล่าวถึงอยู่เสมอ











Comments